หลี่ซื่ออาศัยอยู่ทางตอนเหนือมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นส่วนตะวันตก ตะวันออกหรือกลางล้วนประทับใจเป็นอย่างมาก พอได้ยินแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ว่า “ตระกูลหลิวนี้ร่ำรวยจริงๆ! เรือนใหญ่ถึงเพียงนี้ ครอบครอบพื้นที่มากกว่าหนึ่งซอย เกรงว่าในจิงเฉิงคงจะใหญ่เป็นอันดับต้นๆ เลยกระมัง”
ปี้อวี้คลี่ยิ้มพลางยืนขึ้นตอบข้างๆ ว่า “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ! เพียงแค่เรือนส่วนตะวันตกเท่านั้นที่เป็นของใต้เท้าหลิวเจ้าค่ะ เรือนส่วนกลางเป็นของใต้เท้าหลี่ผู้เดิมดำรงตำแหน่งกวงลู่ซื่อ เรือนส่วนตะวันออกเป็นของใต้เท้าเจิงผู้เกษียณจากการเป็นราชครูราชบัณฑิตในสำนักฮั่นหลิน ใต้เท้าเจิงเป็นคนจากเมืองอันซีที่ฝูเจี้ยน มีกิจการค้าชาที่ใหญ่ที่สุดในฝูเจี้ยน ว่ากันว่าสวนชาสี่ถึงห้าในสิบส่วนของฝูเจี้ยนล้วนเป็นของตระกูลพวกเขา”
นี่ก็อธิบายได้ว่าเหตุใดใต้เท้าเจิงผู้เกษียณจากตำแหน่งราชครูราชบัณฑิตคนหนึ่งถึงได้มีเรือนพำนักที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้
ทว่าหลี่ซื่อกลับฟังแล้วสูดลมหายใจเย็นเข้าเฮือกหนึ่ง
ตระกูลเจิงอยู่ที่นี่มีเรือนขนาดเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น แต่นายท่านสี่กลับซื้อเรือนขนาดเท่าๆ กันสามหลังในคราวเดียวหนำซ้ำยังอยู่ติดกันด้วย นี่มิใช่เพียงมีเงินเท่านั้นถึงจะทำได้!
ทว่าปี้อวี้เหมือนมองความตะลึงพรึงเพริดของนางออก จึงกล่าวต่อไปยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ของพวกข้าใช้เวลาไปไม่น้อยกว่าจะซื้อเรือนหลังนี้มาได้เจ้าค่ะ ตอนแรกอยากจะซื้อเรือนหลังหนึ่งข้างๆ ซอยซิ่งหลินโดยไม่คิดอะไรมาก แต่ต่อมากลับคิดว่าอยู่ใกล้นายท่านใหญ่กับนายท่านรองมากเกินไป กลัวจะถูกนายท่านใหญ่หรือนายท่านรองควบคุม จึงซื้อเรือนที่ซอยอวี๋เฉียน เวลาที่อยากจะพักผ่อนก็ไปเยี่ยมนายท่านผู้เฒ่ารองได้พอดี ใครจะรู้ว่าเรือนซ้ายขวาในละแวกนั้นที่ซอยอวี๋เฉียนต่างไม่ยอมขาย ท่านก็เคยไปซอยจิ่วหรูมาก่อน ซอยทั้งซอยเป็นของตระกูลเฉิง ไหนเลยนายท่านจะอยู่อย่างคุ้นชินได้เล่า!…
…บังเอิญใต้เท้าหลิวอาศัยอยู่ที่ไหวอันได้ระยะหนึ่ง ไม่อยากกลับบ้านเกิดที่เจียงซี จึงตัดสินใจตั้งถิ่นฐานอยู่ที่หยางโจว ทางด้านหยางโจวมีพ่อค้าเกลือมากมาย อยากซื้อเรือนที่พึงใจสักหลังกลับไม่ง่ายดายเลย จึงอยากจะขายเรือนที่จิงเฉิง เพียงแต่ตั้งราคาสูงเกินไป หาผู้ซื้อที่เหมาะสมไม่ได้มาตลอด ในอดีตนายท่านสี่ของพวกข้ากับใต้เท้าหลิวเคยคบหาสมาคมกันมาก่อน เขารู้ว่านายท่านสี่ของพวกข้าอยากจะหาเรือนที่ค่อนข้างดีสักหลังหนึ่งในจิงเฉิง เลยส่งพ่อบ้านไปเยี่ยมพบ นายท่านสี่ของพวกข้าเห็นแล้วก็พึงใจ แต่ยังบ่นว่าเล็กอยู่ดี ใต้เท้าหลิวผู้นั้นอาศัยอยู่ที่นี่สิบกว่าปีแล้ว ทั้งยังเป็นบัณฑิตที่สอบผ่านการสอบขุนนางในปีเดียวกับใต้เท้าหลี่ข้างบ้าน จึงออกหน้าช่วยโน้มน้าวใต้เท้าหลี่ ขายเรือนทั้งหมดให้นายท่านสี่…
…เรื่องนี้เป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น หลังจากที่ใต้เท้าเจิงผู้นั้นเกษียณราชการ เรือนหลังนี้จึงร้างผู้อยู่อาศัย ด้วยความร่ำรวยของตระกูลเจิง จะเก็บเรือนร้างเรือนหนึ่งเอาไว้โดยไม่คิดมากก็ทำได้ บังเอิญหลานชายคนหนึ่งของใต้เท้าเจิงอยากจะมาเล่าเรียนที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ตระกูลเจิงจึงจัดเตรียมเรือนหลังนี้ให้เขาอาศัย ใครจะรู้ว่าคุณชายผู้นั้นของตระกูลเจิงเป็นคนประหลาดพิกลคนหนึ่ง เห็นว่าข้างนอกห้องหนังสือของใต้เท้าเจิงปลูกต้นท้อไว้ต้นหนึ่ง ดอกท้อเบ่งบานสะพรั่ง กลับไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเข้ามาอาศัยก็อยากให้คนตัดต้นท้อต้นนั้นทิ้ง แล้วปลูกไผ่ด่างแทน หาได้รู้ไม่ว่าต้นท้อต้นนั้นกลับเป็นต้นที่ใต้เท้าเจิงปลูกไว้ตอนที่เข้าเมืองหลวงมาเล่าเรียนที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน ว่ากันว่าไม่ได้ออกดอกมานานสามปี ปีที่ดอกไม้ผลิบานนั้นใต้เท้าเจิงก็สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อ ใต้เท้าเจิงจึงถือว่ามันเป็นต้นนำโชคนับแต่นั้นมา คุณชายเจิงต้องการตัดต้นท้อของเขาทิ้ง มิเท่ากับว่าต้องการจะพรากชีวิตจิตใจของเขาหรือ…
…เขาไล่คุณชายเจิงผู้นั้นออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วเชิญนักเพาะพันธุ์ดอกไม้จากเฟิงไถมา อยากจะย้ายต้นท้อต้นนั้นกลับบ้านเกิดที่ฝูเจี้ยน...
…นักเพาะพันธุ์ดอกไม้จากเฟิงไถมาดูหลายครั้ง แต่ไม่มีสักคนหนึ่งกล้ารับงานนี้เลย…
…ใต้เท้าเจิงจนปัญญา…
…ทั้งกลัวว่าหลังจากเขาจากไปแล้วคนของตระกูลเจิงที่เข้ามาอาศัยจะไม่เชื่อฟังข้อห้ามของเขาแล้วตัดต้นท้อต้นนั้นทิ้ง และหวั่นเกรงว่าต้นท้อต้นนั้นจะเกี่ยวโยงกับความรุ่งโรจน์และล่มจมของตระกูลเจิง แล้วมีคนคิดจะใช้ต้นไม้ต้นนั้นมาทำลายบุตรหลานของเขา…
…แต่ก่อนตอนที่นายท่านสี่ของพวกข้าทำมาค้าขายก็เคยพบปะนายท่านเจิงมาก่อน ใต้เท้าเจิงบังเอิญได้ยินว่านายท่านสี่ต้องการซื้อเรือนหลังใหญ่หลังหนึ่ง หนำซ้ำนายท่านสี่ของพวกข้าก็มียศจิ้นซื่อขั้นสอง ทั้งยังมีอายุไม่ถึงสามสิบปี และเป็นน้องชายร่วมอุทรของนายท่านใหญ่ จึงเป็นฝ่ายที่เข้าหาก่อน หากว่านายท่านสี่รับปากสัญญาว่าจะไม่ตัดต้นท้อต้นนั้นชั่วชีวิต เขาก็จะขายเรือนหลังนี้ให้นายท่านสี่ด้วยราคาถูก...
…นี่สมกับคำกล่าวที่ว่ากำลังสัปหงกก็มีคนส่งหมอนมาให้จริงๆ นายท่านสี่ของพวกข้ากำลังคิดว่าซื้อเรือนสองหลังยังเล็กไปอยู่บ้างพอดี ใต้เท้าเจิงก็มาหาถึงหน้าประตู…
…นายท่านสี่จึงรับปากทันทีว่านอกจากจะไม่ตัดต้นท้อต้นนั้นทิ้ง ยังจะส่งคนไปดูแลมันให้ดีอีกด้วย…
…ใต้เท้าเจิงยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงขายเรือนให้นายท่านสี่ด้วยราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดถึงสองส่วนเจ้าค่ะ”
“นายท่านสี่โชคดีจริงๆ!” หลี่ซื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจใคร่รู้ยิ่ง เอ่ยถามว่า “ต้นท้อต้นนั้นยังอยู่ที่ส่วนตะวันออกหรือเปล่า ไปดูได้หรือไม่”
หน้าที่ของปี้อวี้ก็คือต้อนรับหลี่ซื่อให้ดี พอได้ยินแล้วก็รีบเอ่ยว่า “ขอเพียงฮูหยินปรารถนาเจ้าค่ะ! เช่นนั้นท่านอยากจะไปดูต้นท้อต้นนั้นก่อนหรือไปนั่งเรือเล่นก่อนดีเจ้าคะ”
“ไปดูต้นท้อแล้วค่อยนั่งเรือเล่นก็แล้วกัน” หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “ดอกท้อเป็นสิ่งของที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ปุถุชนล้วนมิชอบมันที่ไม่ถาวร การใช้ดอกท้อเพื่อพิทักษ์รักษาตระกูล นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยิน”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับนึกถึงเงินของเฉิงฉือ นางถามขึ้นว่า “เช่นนั้นตอนที่ท่านน้าฉือซื้อเรือนของตระกูลหลี่กับตระกูลหลิวคงจะเสียเงินไปไม่น้อยกระมัง”
นัยน์ตาของปี้อวี้มีประกายวาบผ่านเล็กน้อย
นางคาดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นจะจับความนัยในคำพูดได้ พบว่าการซื้อเรือนของตระกูลหลี่กับตระกูลหลิวนั้นเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก
เพียงแต่พูดเรื่องนี้ไปก็คงไม่ดีนัก ครั้นได้ยินแล้วจึงตอบอย่างคลุมเครือเล็กน้อยว่า “ไม่ได้เสียเงินมากเท่าใดเจ้าค่ะ ท่านก็เห็นว่าต้นไม้ดอกไม้ของตระกูลหลิวนี้เขียวชอุ่มร่มรื่นยิ่ง น้ำที่ไหลในสระน้ำที่สวนดอกไม้ก็ดึงมาจากที่นี่ ส่วนห้องโถงหลักของตระกูลหลี่นั้นโอ่อ่ายิ่งยวด ทั้งหมดล้วนใช้ต้นไม้เก่าแก่อายุร้อยปีทำเป็นเสาเรือน ต่อให้อาศัยอยู่หลายชั่วคนก็ไม่เป็นไร คิดดูแล้วก็คุ้มราคาเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ!”
“แต่เรือนนี้ใหญ่เกินไป ถ้าหากต้องการขายขึ้นมาเกรงว่าคงมีเพียงไม่กี่คนที่มีกำลังซื้อ” โจวเสาจิ่นทอดถอนใจ
หากว่าท่านน้าฉือต้องการก่อตั้งตระกูลตนเองจริงๆ ละก็ เรือนใหญ่ถึงเพียงนี้ คนทั่วไปล้วนซื้อไม่ไหว ทั้งแลกเปลี่ยนเป็นเงินไม่ได้ แล้วยังต้องเลี้ยงดูบ่าวเด็กที่ทำความสะอาดมากมายอีก เสียค่าใช้จ่ายเป็นอันมาก
เรือนที่ซอยอวี๋เฉียนนั้นยังดีกว่าเสียอีก!
“ในเมื่อซื้อมาแล้ว ก็คงไม่ขายแล้วเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “อย่างไรซอยจิ่วหรูก็ไม่ขาดทรัพย์สินเงินทองหรอกเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อจึงคิดว่าตระกูลเฉิงร่ำรวยมากจริงๆ!
แม้แต่ตระกูลเจิงที่มีกิจการขายชาสี่ถึงห้าในสิบส่วนของฝูเจี้ยนก็มิอาจเทียบเคียงตระกูลเฉิงได้
มิน่าเวลาที่คนในเมืองจินหลิงพูดถึงตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของจินหลิง!
หลี่ซื่อยิ้มพลางเอ่ยชมปี้อวี้ว่า “ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าเพิ่งมาถึงจิงเฉิงได้ไม่นาน แต่พูดถึงตระกูลเก่าแก่ต่างๆ ในจิงเฉิงราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว”
ปี้อวี้ตอบยิ้มๆ ว่า “นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินมาไม่น้อยยามอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจ้าค่ะ พ่อบ้านฉินอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด จึงรู้ว่าตระกูลใดเป็นตระกูลใด”
นางไปชมดอกท้อที่ส่วนตะวันออกเป็นเพื่อนหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่น ทว่าปากกลับไม่หยุดพัก กล่าวเสริมยิ้มๆ ว่า “ซอยนี้ที่พวกข้าอาศัยเรียกว่าซอยซื่อเถียว เป็นทำเลที่ดีที่สุดในย่านประตูเฉาหยางเจ้าค่ะ เรือนในเมืองจิงเฉิงของตระกูลกู้แห่งไห่หนิงอยู่ที่ซอยลิ่วเถียว ห่างจากพวกข้าสองซอย อยู่ใกล้กันมาก ส่วนเรือนในเมืองจิงเฉิงของตระกูลหยวนแห่งถงเซียงอยู่ซอยอี้เถียว ไกลกว่าตระกูลกู้เล็กน้อย ทว่าใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อจงก็ถึงแล้ว แต่ตระกูลเผิงที่ต้ากูไหน่ไนสามของพวกข้าแต่งงานด้วยอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย หากนั่งรถม้าไปก็ต้องใช้เวลาสามเค่อจง อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนอยู่ในละแวกเดียวกันก็พอแล้ว… ตระกูลฟางแห่งซูเฉิงก็อยู่ซอยอี้เถียว แต่ตระกูลหยวนอยู่ต้นซอย ตระกูลฟางอยู่ท้ายซอย ตระกูลหลี่แห่งหลูเจียงอยู่ซอยซานเถียว อยู่แค่ด้านหน้าของพวกเรานี่เอง ทว่าเรือนไม่ใหญ่โตเท่าของพวกข้า เป็นเรือนขนาดห้าวงเช่นกันเจ้าค่ะ…”
นางกล่าวอธิบายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและละเอียดชัดเจนยิ่ง
หลี่ซื่อฟังแล้ว ก็ชื่นชมฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่อยู่ห่างไกลในเมืองจินหลิงไม่หยุด!
แม้เป็นเพียงสาวใช้ข้างกาย แต่ได้รับการชี้แนะสั่งสอนจากนางมานานหลายปี มีหูตากว้างไกลถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นนายหญิงใหญ่ที่ดูแลงานบ้านงานเรือนในตระกูลสามัญชน เกรงว่าคงไม่มีความรู้ความสามารถเช่นปี้อวี้เป็นแน่


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน