ด้านหน้าประตูชั้นในของส่วนตะวันตกมีทางเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกซึ่งปูด้วยอิฐหินครามทรงสี่เหลี่ยมเส้นหนึ่ง ทางตะวันออกเป็นประตูหรูอี้บานหนึ่ง นำไปสู่ประตูตะวันตกของตัวเรือน หากมุ่งไปทางตะวันออกจะนำไปสู่ห้องหนังสือของเรือนชั้นนอกของส่วนกลาง
ทางเชื่อมของห้องหนังสือของเฉิงฉือหันเข้าประตูชั้นในของส่วนตะวันตก
มีเด็กไม่คุ้นหน้าสองคนเฝ้ายามที่ทางเชื่อม
พวกเขาต่างสวมเสื้อสีดำขอบสีเข้มของบ่าวเด็ก อายุราวเจ็ดแปดขวบ หน้าตาเกลี้ยงเกลาหมดจด
เมื่อเห็นปี้อวี้มาพร้อมกับโจวเสาจิ่นก็ก้าวเข้ามาทำความเคารพ แล้วลอบมองสำรวจโจวเสาจิ่นอย่างสนใจใคร่รู้ เรียกปี้อวี้ด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ท่านพี่สะใภ้” ถามนางว่า “มีอะไรจะรับสั่งหรือไม่ขอรับ”
ปี้อวี้จึงอธิบายให้โจวเสาจิ่นว่า “นี่คือบ่าวเด็กที่พ่อบ้านใหญ่ฉินเลือกมาจากจินหลิงด้วยตนเอง เด็กที่มีตาชั้นเดียวคือฉินฟาง ส่วนเด็กที่มีตาสองชั้นคือซ่งหมิง ต่างเป็นบุตรหลานของบ่าวไพร่ในตระกูล วันนี้ปรนนิบัติในห้องหนังสือของนายท่านสี่ นายท่านสี่บอกว่าหากเรือนชั้นในมีคนพักอาศัย พวกเขาจะได้ช่วยวิ่งทำธุระให้”
เด็กสองคนต่างมีไหวพริบดียิ่ง รีบก้าวมาทำความเคารพและเรียกโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูรอง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างสุภาพอ่อนโยน แล้วนึกถึงชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์ขึ้นมา
หากจะบอกว่าชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์ผู้เป็นบ่าวข้างกายของเฉิงฉือนั้นเป็นคนในตำนานเทพเซียนละก็ ฉินฟางกับซ่งหมิงก็คงเป็นบ่าวรับใช้ในโลกแห่งความจริง สองคนแรกราวกับดำรงอยู่ในความว่างเปล่า ส่วนสองคนหลังดำรงอยู่ในโลกมนุษย์… ท่านน้าฉือเองก็ประหนึ่งเดินออกมาจากที่เร้นลับมาคลุกคลีฝุ่นดินในโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน!
นางเม้มปากกลั้นยิ้ม
ปี้อวี้บอกเด็กสองคนนั้นว่า “พวกเจ้าไปแจ้งนายท่านสี่ให้ที บอกว่าคุณหนูรองมาแล้ว”
ฉินฟางกลอกลูกตาไปมา กล่าวว่า “นายท่านไหวซานบอกไว้ว่า ถ้าคุณหนูรองมา ให้เข้าไปโดยตรงได้เลยขอรับ ไม่ต้องรายงาน”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
ทว่าปี้อวี้กลับดุว่า “ใครบอกให้เจ้าเรียกท่านอาใหญ่ไหวซานว่า ‘นายท่าน’ ในเรือนนี้มีเพียงเจ้าของเรือนเท่านั้นที่เรียกว่า ‘นายท่าน’ ได้ เข้าใจหรือไม่”
ฉินฟางแลบลิ้นแล้วขานรับเสียงดังว่า “เข้าใจแล้ว วันหลังจะไม่กล้าเรียกอีกแล้วขอรับ” ท่าทางแก่นแก้วเหลือแสน ไม่รู้ว่าฟังเข้าหูจริงๆ หรือเพียงตอบส่งเดชปี้อวี้ไปอย่างนั้น
ปี้อวี้ส่ายศีรษะทันที แล้วเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับโจวเสาจิ่นไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “ฉินฟางเป็นลื่อชาย[1]ของพ่อบ้านใหญ่ฉินเจ้าค่ะ เป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งยวด เพียงแต่ไม่ระมัดระวังคำพูดคำจาสักเท่าใด คุณหนูรองอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ”
หรือว่าเพราะตนเป็นคนเงียบๆ คนหนึ่ง โจวเสาจิ่นจึงชื่นชอบเด็กที่มีนิสัยร่าเริงมีชีวิตชีวาเหล่านั้นเป็นอย่างมาก นางมิได้รู้สึกถูกทำให้ขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เขายังเป็นเด็กคนหนึ่ง อีกทั้งเพิ่งจะเข้าเรือนมา ซุกซนเล็กน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา ค่อยๆ สอนเขาก็พอแล้ว”
นางนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินกับตระกูลเฉิง คิดว่าการให้บุตรหลานของตระกูลฉินปรนนิบัติตระกูลเฉิงต่อไปอย่างนี้ความจริงแล้วก็ไม่ยุติธรรมต่อบุตรหลานของตระกูลฉินเท่าใดนัก ยังมีเรื่องแต่งงานของจี๋อิ๋งกับฉินจื่อผิงอีก ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ด้วยอุปนิสัยของจี๋อิ๋งและอำนาจของตระกูลจี้ บวกกับจี๋อิ๋งก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่พ่อแม่รักใคร่ทะนุถนอม แม้แต่ตอนเป็นสาวใช้ข้างกายของเฉิงฉือก็ไม่เคยก้มหน้าลงให้ผู้ใด จะยินยอมให้จี๋อิ๋งแต่งงานกับฉินจื่อผิงหรือ
โจวเสาจิ่นจึงถามปี้อวี๋ว่า “ข้าได้ยินมาว่าพ่อบ้านที่นี่แซ่ฉิน คือฉินจื่อผิงหรือว่าฉินจื่ออัน”
“ไม่ใช่ทั้งสองคนเลยเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้ตอบยิ้มๆ “คือฉินจื่อจี๋ หลานชายของพ่อบ้านใหญ่ฉิน!”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
ปี้อวี้ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินสามีผู้นั้นของข้าบอกว่า แต่ก่อนฉินจื่อจี๋เคยเป็นหลงจู๊รองของสาขาจี่หนานเจ้าค่ะ จู่ๆ นายท่านสี่ก็โยกย้ายเขามาเป็นพ่อบ้านในเรือนนี้กะทันหัน…”
โจวเสาจิ่นลอบคิดว่าการปรากฏตัวของฉินจื่อจี๋ผู้นี้กับฉินฟางผู้นั้นต้องมิใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในเรือน
ภายในเรือนเงียบสงบ ทางเชื่อมทั้งสองฝั่งปลูกต้นไผ่หลากหลายชนิด เมื่อสายลมพัดมา ใบไม้ก็พลิ้วไหวดังซ่าๆ ทำให้คนรู้สึกเย็นสงบขึ้นมาในทันใด
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ต้นไผ่นี้งดงามจริงๆ เป็นไผ่ที่ตระกูลหลิวทิ้งเอาไว้หรือ”
ปี้อวี้ยิ้มพลางพยักหน้า กล่าวว่า “เรือนของตระกูลหลิวเดิมทีเรียกว่าสวนไผ่เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นเลิกคิ้วขึ้น
ปี้อวี้อธิบายยิ้มๆ ว่า “ออกไปข้างหลัง ยังมีป่าไผ่อยู่ด้วย ปลูกไผ่หลากหลายสายพันธุ์กว่าที่นี่อีกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็สมชื่อ”
ทั้งสองคนพูดคุยไปด้วยหัวเราะไปด้วย เดินเลี้ยวลัดผ่านป่าไผ่ไปก็เห็นห้องขนาดสามห้องกั้นห้องหนึ่งที่มีห้องข้างสองห้อง ด้านหน้าห้องปลูกดอกจื่อเถิง พวงดอกไม้สีม่วงที่บานสะพรั่งพัดพลิ้วไปตามสายลมราวกับต้นหลิว สวยสดงดงามเหลือคณา
หลั่งเย่ว์เฝ้าอยู่หน้าประตู
ครั้นเห็นโจวเสาจิ่นก็รีบก้าวมาทำความเคารพ แล้วหมุนกายตะโกนเข้าไปในห้องว่า “คุณหนูรองมาขอรับ”
ม่านไม้ไผ่ด่างถูกเลิกขึ้นมา ไหวซานเดินออกมาจากข้างใน ประสานมือให้โจวเสาจิ่น พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูรอง” แล้วช่วยเลิกม่านขึ้นให้นางด้วยตนเอง
ไหวซานเป็นคนข้างกายของเฉิงฉือ แต่กลับพินอบพิเทากับโจวเสาจิ่นขนาดนี้ โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไหวซานอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยตำราหนังสือ
ห้องขนาดสามห้องกั้นถูกเชื่อมให้เป็นห้องโล่ง วางหนังสือเอาไว้ทั่วทุกที่
ด้านซ้ายวางโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง ส่วนด้านขวาวางโต๊ะวาดภาพตัวหนึ่ง ตรงกลางวางโอ่งลายครามสำหรับเก็บหนังสือม้วนขนาดใหญ่เท่าสองคนโอบใบหนึ่ง ใต้หน้าต่างฝั่งตะวันตกยังวางพิณไว้ตัวหนึ่ง คันศรที่เฉิงฉือถือในมือวันนั้นถูกแขวนทิ้งไว้บนฉากกั้นห้องฝั่งตะวันตกเสมือนเป็นของประดับชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นรู้สึกฝ่ามือตนเองมีเหงื่อซึมเล็กน้อย
นางค้นพบว่าเฉิงฉือกำลังนั่งชงชาบนเตียงเตาริมหน้าต่างฝั่งตะวันออกอยู่
เขาสวมเสื้อเต้าเผาสีม่วงอ่อนเรียบๆ ตัวหนึ่ง แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านกระจกของหน้าต่างฉลุลายทอดบนตัวเขา ทำให้ดวงหน้าของเขาดูอ่อนโยนและสง่างามยิ่งขึ้น
มีคนที่หน้าตาดูดีขนาดนี้ได้อย่างไร!
โจวเสาจิ่นละสายตาไม่ได้เล็กน้อย
เฉิงฉืออดหัวเราะคิกขึ้นมาไม่ได้ ล้างจอกน้ำชาอย่างคล่องแคล่วไปด้วย พลางกล่าวเย้าแหย่นางไปด้วยว่า “ในที่สุดก็มาหาข้าจนได้!”
โจวเสาจิ่นดึงสติกลับมา ก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย
“มานั่งเร็ว!” เฉิงฉือยิ้มพลางชี้เตียงเตาตรงกันข้าม
โจวเสาจิ่นเดินไปหาอย่างขัดเขินเล็กน้อย แล้วเห็นบนเตียงเตามีหมอนอิงใบใหญ่สองใบ
นางก็รู้แก่ใจว่า ที่ของท่านน้าฉือดีที่สุด!
นางถอดรองเท้าขึ้นเตียงเตาไปอย่างเริงร่า
เฉิงฉือลูบผมนางอย่างทะนุถนอม
ความชื่นชมที่ไม่ปิดบังในดวงตาของเด็กน้อยนั้นทำให้คนเห็นแล้วทั้งรู้สึกอิ่มเอมเปรมใจและรักใคร่เอ็นดู
ยังดีที่เด็กน้อยตกในมือของตน… หากตามผู้อื่นไป เกรงว่าคงจะถูกแทะกินจนถึงกระดูกไม่เหลือเศษซากเป็นแน่
เขากลับรู้สึกสนใจหลินซื่อเซิ่งขึ้นมาเล็กน้อย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน