จู่ๆ โจวเสาจิ่นที่ถูกโอบกอด อดอุทานเสียงเบาคำหนึ่งไม่ได้ จับแขนของเฉิงฉือไว้แน่น ริมฝีปากอุ่นผะผ่าวก็แนบบนริมฝีปากของนาง
นางเอ่ยขึ้นอย่างตกใจว่า “รีบปล่อยข้าลงมาเร็วเจ้าคะ!”
เฉิงฉือไม่ปล่อย
รู้สึกว่าการที่โจวเสาจิ่นพึ่งพาเขาหมดทั้งกายและใจเช่นนี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก
โจวเสาจิ่นโกรธขึ้งยิ่งนัก
เฉิงฉือยกยิ้มแล้ววางนางบนเตียงเตา ส่วนตนเองก็นั่งลงตาม แล้วเริ่มชงชากาใหม่
โจวเสาจิ่นจัดเสื้อผ้าเครื่องประดับให้เรียบร้อย สีหน้าลังเลเล็กน้อย
เฉิงฉือหยักมุมปากขึ้นยิ้มๆ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “มีอะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีกจึงกล่าวว่า “จะต้องแยกตระกูลให้ได้หรือเจ้าคะ”
จะต้องแยกตระกูลให้สำเร็จนางจึงจะแต่งงานกับเขาได้อย่างนั้นหรือ
บุตรสาวที่แต่งงานเสมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป
ในระเบียนประวัติตระกูลของตระกูลเดิมเพียงบันทึกวันเกิดและวันออกเรือนของบุตรสาวเท่านั้น
บุตรสาวที่แต่งงานก็เพียงดูว่าสามีเป็นคนเช่นไรเท่านั้น!
อย่างไรก็ตามเพราะว่านางเติบโตในซอยจิ่วหรูตั้งแต่เล็ก หากแต่งงานกับท่านน้าฉือ ท่านน้าฉือจะถูกประณามได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากท่านน้าฉือเดินบนเส้นทางขุนนาง ก็ยิ่งมีความผิดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
เห็นได้ว่าเรื่องต่างๆ ในโลกนี้ล้วนยากจะสมดั่งใจหวังทั้งสองทาง
ถ้าหากนางมิได้เติบโตในซอยจิ่วหรู ก็คงมิได้พบกับท่านน้าฉือ แต่เนื่องจากนางเติบโตในซอยจิ่วหรู จึงกลายเป็นสาเหตุที่ขวางกั้นไม่ให้นางได้แต่งงานกับท่านน้าฉือ
อารมณ์ของโจวเสาจิ่นหดหู่ลงเป็นอย่างมาก
เฉิงฉือลูบศีรษะของนางพลางกล่าวว่า “การแยกตระกูลเป็นทางออกที่ดีที่สุด…หรือว่าเจ้าอยากจะตามข้ากลับไปกราบไหว้บรรพชนที่ซอยจิ่วหรูทุกปี”
เขาเป็นคนที่เข้าใจนางที่สุดจริงๆ
หรือว่าความทรงจำจากชาติก่อนจะฝังใจเกินไป นางจึงหวั่นกลัวสายตาจับจ้องของคนอื่นเป็นที่สุด การตกเป็นที่ซุบซิบนินทาของผู้อื่น ไม่ว่าจะพูดถึงนางในแง่ดีหรือไม่ดีก็ตาม นางไม่ชอบฟังเลยทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นพึมพำขึ้นว่า “เพียงรู้สึกเป็นกังวลเท่านั้นเจ้าค่ะ… เดิมทีไม่ต้องถึงกับแยกตระกูลก็ได้… แค่คิดว่าเพราะตัวข้าเป็นสาเหตุทำให้ซอยจิ่วหรูแตกแยกกัน… บรรดาผู้อาวุโสและผู้นำตระกูลทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว จะต้องกล่าวโทษข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ…”
“เสาจิ่น!” เฉิงฉือเรียกนางอย่างอาทร รู้สึกทอดถอนใจขณะโอบกอดนางในอ้อมแขน
โจวเสาจิ่นชอบอ้อมกอดเช่นนี้ ทั้งรู้สึกสงบใจและฟังเสียงหัวใจเต้นของเฉิงฉือได้ด้วย ราวกับนางอยู่ในใจของเขาก็ไม่ปาน
นางมิได้ดิ้นขัดขืน อิงแอบแผงอกของเขาอย่างว่าง่าย
เขาจุมพิตบนกระหม่อมของนาง กระซิบว่า “เมื่อครู่พี่ชายรองมาหาข้า เขาเห็นด้วยกับการแยกตระกูล...”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ ริมฝีปากเฉียดแตะริมฝีปากของเขา
ดวงหน้าของนางซับสีแดงเรื่อจางๆ
ทว่าเฉิงฉือกลับฉวยจังหวะไล่ประกบปากตาม ประคองดวงหน้าของนางในมือ บดจูบริมฝีปากกับนางอย่างดูดดื่ม
ฉลุลายหน้าต่างติดกระจกใส
หางตาของโจวเสาจิ่นเห็นฉินฟางเล่นกับซ่งหมิงที่ลานข้างนอกได้
นางเบิกตาโพลง ดิ้นขลุกขลักผลักเฉิงฉือออกไป
เฉิงฉือปล่อยนางทันที
นางหอบหายใจ พลางกล่าวว่า “ข้างนอกๆ มีคนเจ้าค่ะ…”
มิได้ขัดขืนเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่กังวลว่าข้างนอกมีคนอยู่!
ในรอยยิ้มของเฉิงฉือมีความอ่อนโยนสายหนึ่งที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัววาบผ่าน ยิ้มละไมพลางกอดนางขณะเอนอิงบนหมอนอิงใบใหญ่
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
นึกถึงแต่ก่อนเวลาที่เขาช่วยนางจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยอย่างว่องไวก่อนที่คนอื่นจะเข้ามา และนึกถึงว่าขอเพียงนางดิ้นขัดขืนขึ้นมาเขาก็ปล่อยนางทันที… ในใจของนางพลันรู้สึกอ่อนยวบและมั่นใจ
ความจริงแล้วท่านน้าฉือไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ไม่ว่าเมื่อไรก็ปกป้องนาง
ต่อให้หยอกเย้ากลั่นแกล้งเกินไปบ้างแต่ก็ทำเมื่ออยู่ตามลำพังเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรไม่เคยปล่อยให้นางถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเลยสักครั้ง
นางมัวแต่หวาดกลัว มิได้รับรู้ถึงสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้นาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ร่างกายที่เดิมแข็งเกร็งเล็กน้อยก็ผ่อนคลายลงมา… ซุกอิงอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างว่าง่าย
กลิ่นหอมอ่อนๆ ในวงแขน หนำซ้ำยังเป็นหญิงสาวที่ตนชื่นชอบ ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มเอมใจได้มากไปกว่านี้
เฉิงฉือลูบไล้เรือนผมของโจวเสาจิ่นขณะหาเรื่องชวนคุย กล่าวขึ้นว่า “ความตั้งใจของพี่ชายรองของข้า คือถือโอกาสปล่อยพรรคเจ็ดดาราออกไป…”
โจวเสาจิ่นหยัดกายขึ้นนั่งอย่างประหลาดใจแกมยินดีในทันที รู้สึกดีต่อเฉิงเว่ยผู้ที่ไม่มีภาพจำอะไรมาโดยตลอดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตบมือพลางกล่าวว่า “ดีจริงเจ้าค่ะๆ ข้าคิดว่านายท่านรองเว่ยกล่าวได้อย่างมีเหตุผล การแยกตระกูลอะไรนั้นเป็นเรื่องเล็ก การหาทางทิ้งพรรคเจ็ดดาราออกไปต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”
เฉิงฉือมองดวงตาวาววับและท่าทางปลาบปลื้มยินดีของนางแล้ว ก็คลี่ยิ้มพลางดึงนางเข้าสู่อ้อมอกของตนอีกครั้ง กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “แต่พวกเรายังมิได้สืบหาว่าตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์สินไปได้อย่างไร ถ้าหากข้าทิ้งพรรคเจ็ดดาราไป จะมีใครที่ไหนช่วยพวกเราสืบค้นเรื่องพวกนี้เล่า”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ!” แววตาของโจวเสาจิ่นหม่นหมองลง “ไม่รู้เมื่อไรจึงจะสืบพบความจริงได้นะเจ้าคะ ล้วนต้องโทษข้าที่วันๆ เอาแต่มองพื้นดินหนึ่งหมู่สามเฟินใต้เท้าตนเอง ไม่รู้จักสนใจเรื่องของตระกูลเฉิงให้มาก หาไม่แล้วก็คงไม่ถูกลงโทษเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือยกยิ้มขึ้นมา ถามว่า “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเฉิง เจิงเจี่ยเอ๋อร์ทำอะไรบ้าง”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน