ครั้นได้ยินว่าพี่ชายตนเองจะมา หลี่ซื่อย่อมลิงโลดดีใจเป็นธรรมดา ด้านหนึ่งรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ปัดกวาดเช็ดถูเรือน อีกด้านหนึ่งก็ให้ครัวจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับสำหรับวันพรุ่งนี้ ทว่าเมื่อคิดว่าเพื่อดูแลเรื่องอาหารการกินให้ถูกปากโจวเสาจิ่นคนครัวในบ้านจึงมาจากทางตอนใต้ ส่วนพี่ชายแม้ว่ามาจิงเฉิงบ่อยครั้งเนื่องด้วยการค้าขาย แต่ครั้งนี้นางเป็นเจ้าบ้าน จะต้องให้พี่ชายได้ลิ้มลองรสชาติดั้งเดิมของจิงเฉิง น่าเสียดายที่ในบ้านมีแต่อิสตรี ไม่มีผู้ใดช่วยรับรองแขกได้ จึงได้แต่หาทางจ้างภัตตาคารที่มีชื่อเสียงเข้ามาจัดโต๊ะรับรอง ตอนที่รอพวกบ่าวไพร่ทำความสะอาดเรือน นางก็บอกหลี่มามาให้บอกพ่อบ้านเซี่ยงว่า ขอให้พ่อบ้านเซี่ยงช่วยแนะนำภัตตาคารชื่อดังสักสองสามแห่ง แล้วหมุนกายไปเปิดหีบหับ หยิบชุดเครื่องนอนเช่นผ้าปูและหมอนของตนเองชุดหนึ่งส่งไปที่ห้องพักแขก… วิ่งวุ่นทำงานจนตัวหมุน
โจวเสาจิ่นนอนเอกเขนกบนเตียงเตาริมหน้าต่างขณะมองดูนกขมิ้นสองตัวที่ขับร้องเสียงอ่อนหวานใต้ระเบียงทางเดินอย่างเหม่อลอย
เรือนที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้นกว้างใหญ่จริงๆ
หากต้องการให้มีชีวิตชีวาเหมือนเรือนที่ซอยจิ่วหรูล่ะก็ เกรงว่าถ้าไม่ให้เวลาสักสองสามปีคงจะเป็นไปไม่ได้
ท่านน้าฉืออยู่ที่นั่นคนเดียว ช่างเงียบเหงายิ่งนัก…
จู่ๆ นางก็คิดถึงเฉิงฉือเหลือแสน
โจวเสาจิ่นกอดหมอนใบใหญ่โดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือกำลังทำอะไรอยู่
ฮูหยินกลัวว่าถ้ากลับดึกเกินไปจะทำให้โย่วจิ่นหวาดกลัว แม้มื้อเย็นที่โน่นตระเตรียมไว้เสร็จแล้วก็ยังปฏิเสธอย่างนุ่มนวลอยู่ดี
นอกจากนี้ห้องครัวยังทำอาหารเมืองหังโจวไว้มากมายตามความชอบของโจวเสาจิ่นอีกด้วย
นางจินตนาการว่าใต้แสงตะเกียงสลัวๆ ในห้องโถงที่กว้างใหญ่และอ้างว้าง เฉิงฉือรับประทานมื้อเย็นหน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารมากมายอย่างเงียบๆ ตามลำพัง… ในใจเสมือนซ่อนนกน้อยไว้ตัวหนึ่งมิอาจสะกดกลั้นความรู้สึกได้
โจวเสาจิ่นให้คนไปเรียกซางมามาเข้ามา กล่าวเสียงค่อยด้วยดวงหน้าแดงเรื่อว่า “มามา เจ้าช่วยข้าส่งจดหมายให้ท่านน้าฉือสักฉบับได้หรือไม่”
ซางมามาเห็นนางดูขัดเขินระคนขลาดกลัวละม้ายคล้ายดอกไม้ที่สั่นไหวยามผลิบานดอกหนึ่ง เสมือนท่าทางของสาวน้อยในห้วงความรักอย่างไรอย่างนั้น ในใจไหนเลยจะไม่เข้าใจ! ทันทีที่นึกถึงอุปนิสัยเหนียมอายของโจวเสาจิ่น แม้แต่รอยยิ้มสายหนึ่งในดวงตาก็มิกล้าเผยออกมา ในทางกลับกันนางตอบอย่างนอบน้อมเหมือนไม่เห็นอะไรผิดปกติว่า “ขอเพียงคุณหนูรองบอกมาก็พอเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกวางใจลงได้ เขียนจดหมายอยู่ในห้องหนังสือครู่หนึ่ง แล้วจึงมอบจดหมายที่ผนึกซองไว้ฉบับหนึ่งแก่ซางมามาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ซางมามาไม่รอให้นางเอ่ยปากก็กล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูรองโปรดวางใจ ข้าจะส่งจดหมายถึงนายท่านสี่ด้วยตนเองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ซ้ำยังเบนหัวข้อสนทนาไปเรื่อนอื่นแทนนางว่า “เห็นว่ากวนเกอใกล้จัดพิธีครบร้อยวันแล้ว ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองจินหลิงจะมีคนมาหรือไม่นะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกเบาใจ ยิ้มพลางพูดคุยกับซางมามาสองสามประโยค แล้วจึงให้นางถอยออกไป
เฉิงฉือกำลังสนทนากับเซียวเจิ้นไห่ “…ข้ามิได้ต้องการให้เขายอมศิโรราบต่อพวกข้า จะเปลืองแรงมากมายขนาดนั้นไปทำไม”
เขาเอนพิงพนักเก้าอี้มีเท้าแขนข้างหลังโต๊ะวาดภาพ ท่าทางผ่อนคลายระคนเกียจคร้าน บนโต๊ะวาดภาพยังวางภาพไก่ฟ้าสีทองที่เขาระบายสีได้ครึ่งรูปไว้ด้วย ร่างเส้นออกมาแล้ว ดอกโบตั๋นลงสีเสร็จแล้ว ตัวไก่ฟ้าสีทองเหลือหงอนสีแดงจ้ากับขนหลากสีคล้ายเสื้อคลุมอันทรงเกียรติที่ยังไม่ได้ลงสี
เซียวเจิ้นไห่อดวิพากษ์ในใจไม่ได้ว่า ข้าตรากตรำวิ่งเต้นอยู่ข้างนอก แต่เจ้าเด็กนี่กลับใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญไร้เภทภัยอยู่ในบ้าน ซ้ำยังจู้จี้จุกจิกอีกด้วย… ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยคนงามผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เห็นนางดูนุ่มนวลอ่อนหวาน คาดไม่ถึงว่าจะห้ามปรามเฉิงจื่อชวนเจ้าเด็กคนนี้ได้ ต้องหาโอกาสพูดคุยกับแม่นางน้อยคนงามผู้นั้นสักหน่อยถึงจะถูก... แม่นางน้อยคนงามผู้นั้นดูท่าทางหลอกง่ายเหลือเกิน…
เขากลอกลูกตาไปมา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจความต้องการของเจ้าแล้ว ในเมื่อแค่ต้องหาจังหวะให้พวกเขากระจายข่าวออกไป เช่นนั้นข้าก็รู้ว่าควรจะใช้ลูกไม้อะไร” กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาแข็งค้าง ลังเลครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “จะให้แพร่ข่าวออกไปจริงๆ หรือ”
จิงเฉิงเป็นเมืองใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ เป็นส่วนกลางของหน่วยลิ่วซ่านเหมิน พวกนักเลงอันธพาลล้วนไม่กล้าซ่องสุมกำลังพล พรรคต่างๆ ที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องม้วนหางหนีบไว้เมื่อกระทำการใดๆ เพียงแต่เฉิงฉือกลับทำตรงกันข้าม ในเวลาเพียงสองเดือน คนของเขาก็ซื้อใจพวกนักเลงอันธพาลน้อยใหญ่ในจิงเฉิง ปรากฏว่าเฉิงฉือกลับบอกเขาว่า เขาทำเช่นนี้เพียงเพื่อจะได้รับรู้ข่าวสารน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นในจิงเฉิงเท่านั้น
ทำไมเขาไม่ไปอยู่ที่หน่วยลิ่วซ่านเหมินเสียเองเล่า!
ตอนนี้เซียวเจิ้นไห่รู้ชื่อจริงของเฉิงฉือแล้ว
เขามักจะเรียกชื่อเฉิงฉือตรงๆ ในใจ
เฉิงฉือคร้านจะพูดอะไรมากกับเซียวเจิ้นไห่
ตั้งแต่เกิดเรื่องของฉินจื่อหนิง เขาก็เรียนรู้ที่จะไม่วางไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว
ตอนนี้ฉินจื่อผิงไปแทรกซึมอยู่ในหน่วยลิ่วซ่านเหมิน เมื่อเวลาผ่านไป ก็คงจะได้รับข่าวคราวอะไรบ้างจากในหน่วยลิ่วซ่านเหมิน
ส่วนฉินจื่ออัน ให้ไปที่ค่ายหุบเขาตะวันตกดีกว่า
ในค่ายหุบเขาตะวันตกมีลูกหลานของตระกูลที่ทรงอำนาจมากมาย เมื่อรวมกับหน่วยราชองครักษ์ข้างนอกหน่วยหนึ่งข้างในหน่วยหนึ่ง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นในพระราชวังต้องห้าม ทั้งค่ายหุบเขาตะวันตกกับหน่วยราชองครักษ์ก็จะผลัดเปลี่ยนกองทัพกัน
อีกทั้งยังฟังความลับมากมายของตระกูลที่ทรงอำนาจเหล่านั้นได้ด้วย
เฉิงฉือนึกถึงตอนบ่ายเพียงเขาหอมแก้มและจุมพิตที่หน้าผากของโจวเสาจิ่น นางก็หน้าแดงและหลุบตาลง เขินอายราวบุปผา แล้วซุกตัวในอ้อมอกของเขานิ่งๆ อย่างว่าง่าย
จู่ๆ เขาก็อารมณ์ดียิ่ง ลุกขึ้นมาหยิบพู่กัน แล้วผสมสีทองอ่อนที่ประเดี๋ยวจะต้องใช้
เซียวเจิ้นไห่รู้สึกหดหู่
สมกับเป็นบุตรหลานของตระกูลเก่าแก่ที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้คงแก่เรียนจริงๆ ไล่คนอื่นออกไปทั้งทีก็ยังกระทำอย่างสุภาพถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กนี่สังหารคนราวกับตัดหญ้าตัดไม้ ซ้ำยังเจ้าเล่ห์เจ้าเหลี่ยมเป็นที่สุด!
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกปวดฟันเล็กน้อย หากตาไม่เห็นใจก็เป็นสุขจึงประสานมือให้เฉิงฉือ แล้วเดินออกไปข้างนอก
ไหวซานเดินสวนเขาเข้ามา
ไอ้คนผู้นี้ร้อยวันพันปีหน้าตายไม่เคยเปลี่ยนตอนนี้มองดูแล้วกลับแต้มรอยยินดีปรีดารางๆ
เซียวเจิ้นไห่อดชะลอฝีเท้าลงไม่ได้
ตอนที่เขาเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นไหวซานหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมามอบให้เฉิงฉืออย่างพินอบพิเทา กล่าวเสียงค่อยว่า “นายท่านสี่ คุณหนูรองเขียนจดหมายแล้วให้คนส่งมาขอรับ!”
เวลานี้หรือ
เฉิงฉือมองออกไปนอกหน้าต่าง
เซียวเจิ้นไห่หดศีรษะอย่างห้ามไม่อยู่ รีบสาวเท้าออกจากห้องหนังสือไป

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน