ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองโจวเสาจิ่นที่ดวงตาแดงก่ำ งดงามอ่อนหวานดุจดอกไม้กำลังมองขึ้นมาหาตนจากปลายเท้านั่นแล้วกลับหัวเราะอย่างดูแคลนครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยขึ้นว่า “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามเจ้าสี่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง กล่าวขึ้นว่า “ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดสนับสนุนข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็น เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากข้าไม่สนับสนุนเจ้าเล่า!”
โจวเสาจิ่นไม่กล่าวคำใด
ยังคงก้มศีรษะดังเดิม ไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้นดินเหนียว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ”
“มิได้เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเบา น้ำเสียงอ่อนโยน ยังเจือไว้ด้วยความอ่อนหวานหยดย้อยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนาง กล่าวขึ้นว่า “เป็นท่านที่ให้ข้าไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน และเป็นท่านที่พาข้าไปสักการะพระพุทธองค์ที่วัดผู่ถัว ท่านยังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหลายให้ข้าฟัง สอนข้าเรื่องหลักของการเป็นคน ที่ท่านไม่ยอมสนับสนุนข้า อาจเป็นเพราะข้ายังไม่ดีพอ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านน้าฉือเสียใจนั้นมีมากกว่า…เนื่องจากเพื่อข้าเขาถึงได้เดินมาถึงขั้นนี้ ด้านหน้าเป็นภูเขามีดและทะเลเพลิง ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาตกลงไปคนเดียวได้ ท่านเป็นคนที่ท่านน้าฉือให้ความเคารพรักที่สุด หากมิใช่เพราะท่านอยู่จินหลิง ท่านน้าฉือก็คงไม่อยู่จินหลิงนาน! ท่านมีความสุข ท่านน้าฉือถึงจะมีความสุข หากท่านไม่มีความสุข ท่านน้าฉือก็ไม่อาจมีความสุขได้…
…ท่านช่วยสนับสนุนพวกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!…
…ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนอ่อนแอ มีหลายเรื่องที่ยังทำได้ไม่ดี แม้แต่เรื่องดูแลเรือนก็อาจจะทำไม่ได้ แต่ข้าจะตั้งใจเรียนรู้ ให้เป็นคนที่ดีพอและเหมาะสมกับท่านน้าฉือให้ได้…
…ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ!” นางดึงชายกระโปรงของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าจะตั้งใจเรียนรู้ จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางเงียบๆ แววตาเย็นชาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นมิได้ถอยหนีหรือหลบสายตา
นางกลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างมากมาโดยตลอด
แต่ครั้งนี้ นางเผชิญหน้ากับสายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองสำรวจนาง
ถึงแม้จะรู้สึกว่าสายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นเสมือนกับกระจกบานหนึ่ง ทำให้ยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องเปิดเผยทุกสิ่งออกมา ไม่มีที่ให้หลบซ่อนก็ตาม นางก็ยังคงไม่หลบเลี่ยงเช่นเดิม
นางถึงกับคิดว่า ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจของนางได้จะดีเพียงไร เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็จะได้รู้ว่าตนมีความรู้สึกต่อท่านน้าฉือลึกซึ้งมากเพียงใดแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น จะดีร้ายเจ้าก็เคยอยู่ข้างกายข้ามาสองถึงสามปี ต่อให้เป็นเพียงการเลี้ยงลูกแมวลูกสุนัขก็ยังมีความรู้สึกผูกพันเลย นับประสาอะไรกับเด็กสาวที่อ่อนหวาน เอาใจใส่ และอ่อนโยนเช่นเจ้ากันเล่า เพียงแต่ว่าบุรุษและสตรีนั้นไม่เหมือนกัน สตรีนั้นโดยมากล้วนอยู่แต่ในครัว ให้กำเนิดบุตรชายหญิง สนับสนุนสามีและให้การอบรมสั่งสอนบุตร แต่ตลอดทั้งชีวิตล้วนไม่ออกจากประตูใหญ่ไม่ก้าวข้ามประตูรอง ทว่าบุรุษนั้นกลับไม่เหมือนกัน พวกเขาต้องเลี้ยงดูครอบครัว ต้องคบค้าสมาคมกับสหาย ต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ชื่อเสียง อำนาจ เงินทอง ล้วนมิอาจขาดได้แม้แต่อย่างเดียว เรือนชั้นในก็เป็นเพียงสถานที่ที่เขาจะไปในยามว่างเท่านั้น แต่เพื่อเจ้าแล้วแม้แต่ชื่อเสียงเจ้าสี่ก็ไม่ต้องการ พวกเจ้านั้นตอนที่ต่างยังรักกันอย่างเหนียวแน่นก็ย่อมดีอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่เมื่อเวลาล่วงเลยเนิ่นนานไป ถ้าหากเขาเกิดรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร ถ้าหากเขาเอาความโกรธมาระบายลงที่เจ้าจะทำอย่างไร ถ้าหากเขาไปมีคนรักใหม่เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่”
“ข้าเคยคิดแล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบเสียงขรึม
นางไม่เพียงเคยคิดมาก่อนเท่านั้น ยังเคยสงสัยมาก่อนด้วยว่าเฉิงฉือเพียงชอบนางที่หน้าตา ฉะนั้นเมื่อก่อนนางจึงไม่กล้าก้าวออกจากขอบเขตที่กำหนดเอาไว้แม้แต่ก้าวเดียว
แต่เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้เพียงว่าตอนนี้เวลานี้ ท่านน้าฉือจริงใจกับข้า ต่อให้วันข้างหน้าเขารู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา แต่เวลานี้ก็ยังคงเป็นเรื่องจริง ท่านไม่รู้หรอกว่าการจะหาคนที่จริงใจสักคนหนึ่งบนโลกใบนี้ได้นั้นยากเย็นเพียงใด…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วหรี่ดวงตาลง กล่าวเสียงเคร่งว่า “กล่าวเช่นนี้แสดงว่า ไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไร เจ้าก็ยังตัดสินใจจะติดตามเจ้าสี่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ขอเพียงท่านน้าฉือไม่ปล่อยมือ ข้าก็จะไม่ปล่อยมือเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางเงียบๆ สีหน้าดูอ่านยากเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระวนกระวายใจ หมอบกายลงไปอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสะบัดชายเสื้อเดินจากไป มีเสียงเยียบเย็นดังขึ้นมาจากเฉลียงทางเดินที่พ้นจากแสงแดดจ้าว่า “เสาจิ่น ข้าหวังเพียงว่าเจ้าจะจดจำคำพูดในวันนี้ของเจ้าไปตลอดชีวิต”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหมุนกายเดินผ่านไปหลายเลี้ยวแล้ว
ชายเสื้อสีครามถูกลมพัดให้โบยบินขึ้นมา ลายเมฆมงคลสีเงินสะท้อนแสงระยิบระยับงดงาม
นี่ฮูหยินผู้เฒ่า…ตอบตกลงแล้ว หรือว่ายังไม่ตกลงกันแน่นะ?
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับลอบถอนหายใจยาวอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
ตอนอายุยังน้อยมักจะรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรทำให้คนหวาดกลัวได้ พออายุค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นถึงได้รู้ว่า มีเรื่องมากมายบนโลกใบนี้ที่อยู่เหนือการควบคุม
ได้ใช้ชีวิตตามใจชอบสักครั้งหนึ่งเช่นนี้ ก็คุ้มค่ากับการเดินทางมายังโลกใบนี้สักครั้งหนึ่งแล้ว!
แต่การทำตามใจนั้น ก็มีราคาที่ต้องจ่าย!
นางอายุมากแล้ว ยุ่งเรื่องพวกนี้มากไม่ไหวแล้ว ตามใจพวกเขาก็แล้วกัน!
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว แขกเหรื่อในบ้านทยอยกันกลับไป มีเพียงเฉิงเซิงที่ยืนกรานจะรั้งอยู่ด้วย คล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้กล่าวยิ้มๆ อย่างออดอ้อนว่า “ข้าบอกแม่สามีและสามีของข้าเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าสักสองสามวัน ท่านย่าห้ามไล่ข้ากลับเด็ดขาด คืนนี้ข้าจะนอนกับท่านเจ้าค่ะ”
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน