ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกาย
หมุนลูกประคำในมือเม็ดแล้วเม็ดเล่า ไม่ได้กล่าวอะไรกว่าครู่ใหญ่
ณ ซอยอวี๋เฉียน หลังจากที่โจวเสาจิ่นล้างหน้าล้างมือแล้วกำลังเตรียมจะขึ้นเตียงนั้น ซางมามากลับยกน้ำอุ่นเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง วันนี้ทุกคนต่างเหนื่อยกันหมดแล้ว ข้ามาอยู่เวรกลางคืนดีหรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นชอบอยู่คนเดียว สาวใช้ที่มาอยู่เวรยามก็เพียงเฝ้าอยู่ด้านนอกเท่านั้น ได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปบอกจี๋เสียงที่อยู่เวรสักคำก็พอ!”
ซางมามาขานรับคำยิ้มๆ รอจนโจวเสาจิ่นดื่มน้ำและขึ้นเตียงเรียบร้อยแล้ว นางก็ช่วยเป่าดับตะเกียงไฟดวงอื่นๆ ภายในห้องให้ นำโคมไฟทรงลูกแตงขนาดเล็กหนึ่งเดียวในห้องไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นปิดประตูแล้วถอยออกไป
โจวเสาจิ่นขดตัวอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ทว่าในใจกลับคิดถึงเรื่องที่พูดกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวในวันนี้
ฮูหยินผู้เฒ่าคงเป็นกังวลใจเรื่องที่นางจะรับการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่นมิได้กระมัง
นอกจากนี้ถ้านางทิ้งท่านน้าฉือไปด้วยเหตุเพราะรับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของท่านน้าฉือในตอนนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันในสายตาของผู้อื่นไปเสีย
ในฐานะคนเป็นแม่ ฮูหยินผู้เฒ่าจะทำใจยอมให้บุตรชายได้รับความอับอายเช่นนั้นได้อย่างไร!
แต่นางจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจว่ามันมิใช่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว และมิใช่เพราะนางไม่รู้ถึงความยากลำบากของวันข้างหน้าถึงได้พูดประโยคที่ว่าขอเพียงท่านน้าฉือไม่ปล่อยมือ นางก็จะไม่ปล่อยมือออกมา
โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
นางอยากจะตรงไปถามท่านน้าฉือเหลือเกิน
แต่เมื่อความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวก็ถูกนางขจัดทิ้งไปในทันที
เรื่องนี้ไม่อาจบอกให้ท่านน้าฉือรู้ได้
เขาเป็นบุรุษ ไม่เข้าใจความรู้สึกของสตรี
ถ้าหากนางเป็นแม่ เกรงว่าก็คงจะทำอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากระทำเช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่าด้วยนิสัยของนางแล้ว อาจจะทำได้ไม่ละเอียดรอบคอบอย่างฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่เป็นได้!
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย อยากจะทำตัวให้คุ้นเคยกับเรื่องดูแลเรือนชั้นในให้เร็วที่สุด ถ้าหากว่าต่อไปได้แต่งกับท่านน้าฉือจริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะต้องอยู่กับพวกเฉิงจิงเป็นแน่ ดูจากรูปการณ์ที่ท่านน้าฉือไปซื้อบ้านอยู่ที่ประตูเฉาหยางนั่นแล้ว ก็คงเพราะนางเป็นต้นเหตุ โดยมากตระกูลเฉิงคงจะให้พวกเขาย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง แม้นฮูหยินรองเว่ยจะดูอ่อนโยนจิตใจกว้างขวาง แต่ดูจากกิริยามารยาทที่นางปฏิบัติต่อผู้อื่นและเวลากระทำสิ่งต่างๆ แล้ว ก็มองออกว่ามาจากตระกูลใหญ่ เป็นคนที่จัดการดูแลเรือนชั้นในได้ อย่าให้ถึงเวลาแล้วนางจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องที่สุด แม้แต่ท่านน้าฉือก็ยังดูแลไม่ได้ คนของตระกูลเฉิงคงมีแต่ยิ่งรู้สึกว่านางไม่คู่ควรกับท่านน้าฉือแล้ว…
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอาย
ท่านน้าฉือยังไม่ได้บอกเลยว่าจะขอนางแต่งงานเมื่อใด แต่นางกลับมานั่งจินตนาการฝันกลางวันอยู่ตรงนี้เสียแล้ว
นางดึงผ้าห่มมาคลุมปิดหน้าเอาไว้
ภายในห้องมีเสียงกระแอมไอของบุรุษดังขึ้นเบาๆ
โจวเสาจิ่นดึงผ้าห่มที่คลุมใบหน้าเอาไว้ออก ร้องขึ้นเสียงหนึ่งอย่างทั้งประหลาดใจและทั้งดีใจว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือเดินเข้ามาจากหลังฉากกั้นยิ้มๆ
เขาสวมชุดเผาจื่อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำเงินไพลิน ในมือยังถือดอกอวี้จานหนึ่งช่อใหญ่เอาไว้ด้วย
กลิ่นหอมอ่อนๆ ส่งกลิ่นอวลไปทั่วทั้งห้อง
ใบหน้าเล็กของโจวเสาจิ่นเนียนละเอียดแวววาวดุจหยกเนื้อดี ดึงผ้าห่มออกหมายจะลงมาต้อนรับ ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าตนสวมเพียงชุดชั้นในเท่านั้น ก็รีบดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของตนเอาไว้อีกครั้ง หดใบหน้ากลับไปที่มุมเตียงด้วยดวงหน้าแดงก่ำ งึมงำกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือหันไปยิ้มให้นาง อ่อนโยนงามสง่าและอบอุ่น เอ่ยขึ้นว่า “ตอนเข้าประตูมาเห็นดอกอวี้จานบานได้งดงามยิ่ง ก็เลยเด็ดมาด้วยหลายกิ่ง แจกันดอกไม้อยู่ที่ใดหรือ ข้าจะนำมาให้เจ้า จะให้ดีที่สุดควรจะเป็นแจกันหรู่เหยาสีน้ำเงินแกมเขียวหรือไม่ก็แจกันลายน้ำแข็งแตกของหลงเฉียน”
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ
นางยู่ปากกล่าวไปโดยสัญชาตญาณ “แจกันดอกไม้…น่าจะอยู่ในหีบ...แต่นั่นก็ออกจะวุ่นวายเกินไปแล้ว…” ที่สำคัญคือจะทำให้คนที่เฝ้าเวรยามอยู่รู้สึกตัวได้
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ถึงว่าซางมามามาขออยู่เฝ้าเวรยามกลางคืนด้วยตัวเอง ที่แท้ก็เป็นเพราะได้รับข่าวการมาของท่านน้าฉือตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วนี่เอง…
คนเจ้าเล่ห์ผู้นี้!
แก้มทั้งสองข้างของโจวเสาจิ่นร้อนดั่งไฟ ชี้สั่งการเฉิงฉืออย่างใจกล้า “ไปหยิบแจกันบนชั้นวางของมีค่ามาสักใบก็พอแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนใบใหม่”
ชั้นวางของมีค่าอยู่ในห้องรับแขกของเรือนปีกตะวันตก
เฉิงฉือเดินผ่านห้องโถงไปที่เรือนปีกตะวันตก
โจวเสาจิ่นมองเงาหลังของเขาที่เดินไปอย่างปราดเปรียวนั้นแล้วก็เม้มปากกลั้นยิ้ม
ไม่นาน เฉิงฉือก็ถือแจกันสีแดงสดใสเข้ามาใบหนึ่ง ยังใส่น้ำสะอาดมาด้วย นำดอกไม้ปักลงไปแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
มิใช่บอกว่าจะเอามาให้นางหรอกหรือ
เหตุใดไม่เอามาวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงเล่า
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง วางดอกไม้ไว้ตรงหัวเตียงกลิ่นแรงเกินไป จะส่งกลิ่นจนทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายได้”
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวขอบคุณด้วยความกระดากอาย
เฉิงฉือกลับนั่งลงข้างๆ เตียงอย่างไม่เกรงใจ มองนางยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร
สายตานั่น ช่างแตกต่างจากยามปกติยิ่งนัก
เป็นสายตาที่เจือความตื่นเต้นวูบไหว พึงพอใจ ปลาบปลื้มยินดีและความรู้สึกลึกซึ้งอย่างละเล็กละน้อย…ผสมปนเปกันและยากจะเข้าใจ ทำให้โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักไม่หยุด ไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร งึมงำกล่าวขึ้นว่า “ท่าน…ท่านมาหาข้าดึกดื่นขนาดนี้…มีเรื่องอะไรใช่หรือไม่” ขณะที่กล่าว นางก็กระชับผ้าห่มที่ห่อตัวอยู่ให้แน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เฉิงฉือหลุดหัวเราะออกมา กวักมือเรียกนาง พลางกล่าว “มานี่!”
โจวเสาจิ่นคิดจะปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่เฉิงฉือมองนาง ซึ่งเป็นสายตาที่มีความรู้สึกทุกอย่าง ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือความรู้สึกที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
นางกัดริมฝีปาก ขยับเข้าไปใกล้โดยที่ยังห่อตัวด้วยผ้าห่มอยู่
เฉิงฉือกางแขนออกกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน
โจวเสาจิ่นตกใจจนไม่กล้าขยับ
เฉิงฉือเปล่งเสียงหัวเราะบางเบาที่ข้างหูของนาง จูบกระหม่อมของนางเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เหตุใดเจ้าถึงได้น่ารักมากถึงเพียงนี้ ข้าควรจะทำอย่างไรกับเจ้าดี”
น้ำเสียงหวงแหนอย่างไร้ซึ่งทางออกนั่น ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน ทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดและหวาดกลัวไปด้วย ขยับตัวหลบเลี่ยงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ!”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน