ได้ยินพี่สาวเอ่ยถึงเฉิงสวี่ โจวเสาจิ่นดูเงียบลงไปเล็กน้อย
โจวชูจิ่นถึงได้รู้สึกตัวว่าตนพูดผิดไปแล้ว นางรีบกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ความหมายของข้าก็คือเจ้าควรจะเลือกคนที่เจ้าชอบ…”
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวเสียงเบาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ท่านน้าฉือก็คือคนที่ข้าชอบเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นเอาแต่คิดจะชี้หน้าด่าเฉิงฉือแรงๆ สักคำรบหนึ่งท่าเดียว
“เจ้าอายุยังน้อย จะไปเข้าใจได้อย่างไรว่าอะไรคือชอบหรือไม่ชอบ” นางกล่าวสั่งสอนน้องสาว “ซื้อของให้เจ้า หลอกล่อให้เจ้าหัวเราะมีความสุข อ่อนน้อมถ่อมตนยามอยู่ต่อหน้าเจ้า…พวกนี้ล้วนมิใช่ความชอบ! ความชอบเช่นนี้ผู้ใดทำไม่ได้บ้าง เขาก็เพียงอยากจะประจบเอาใจเจ้าเพื่อจะเอาเปรียบเจ้าก็เท่านั้น เขาจะแต่งงานกับเจ้าหรือ เขาจะกล้าพูดต่อหน้าสาธารณชนว่าชอบเจ้าหรือ เขาจะให้สถานะที่ถูกต้องแก่เจ้าหรือ จะให้เจ้ายืนอยู่ข้างกายเขาอย่างมีเกียรติหรือ เสาจิ่น เจ้าจงฟังคำพูดของพี่สาวสักประโยคหนึ่ง เจ้าชอบเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร เขาชอบเจ้าอย่างนั้นหรือ ถ้าหากเขาชอบเจ้า จะแอบไปมาหาสู่กับเจ้าอย่างลับๆ ล่อๆ หรือ คนเช่นนี้ เจ้าถือโอกาสลืมเขาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า อีกทั้งเขายังเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกเรา อายุมากกว่าเจ้าสิบกว่าปีด้วย!”
“ท่านพี่!” โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวปกป้องเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือบอกว่า เขา…เขาจะแต่งงานกับข้า ท่านไม่ต้องเป็นกังวลใจเจ้าค่ะ…”
โจวชูจิ่นได้ยินประโยคนี้แล้วก็ยิ่งโมโหมากขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เขาบอกว่าจะแต่งกับเจ้าก็จะแต่งกับเจ้าได้เลยอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดเสียบ้าง เขาเป็นอะไรกับพวกเรา เมื่อครู่เจ้ายังเรียกเขาว่าท่านน้าฉืออยู่เลย เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ทว่ากลับมาทำเรื่องเช่นนี้กับเจ้า พฤติกรรมน่ารังเกียจนี้เพียงพอให้ตั้งคำถามแล้ว คำพูดของเขาจะจริงสักกี่ส่วนกันเชียว!”
“ข้าเชื่อว่าเขาพูดจริงเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นเห็นสีหน้าของพี่สาวไม่ดีเอาเสียเลย จึงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับพี่สาว กล่าวแย้งไปเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือไม่มีทางโกหกข้า! ท่านพี่ ท่านเชื่อใจข้าสักครั้งได้หรือไม่”
นางอยากบอกพี่สาวเหลือเกินว่าแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็กลัวว่าหลังจากที่พูดออกไปแล้วพี่สาวจะกล่าวโทษฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปด้วย
ท่าทางของโจวเสาจิ่นคล้ายคนตกหลุมรักที่หาทางออกมาไม่ได้ โจวชูจิ่นโกรธจนดวงตาแดงก่ำไปหมด
แต่นี่จะกล่าวโทษเสาจิ่นได้หรือ
นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้นนี่นา
หากมิใช่เพราะเฉิงฉือล่อลวงนาง นางจะต่อต้านตนเช่นนี้หรือ
ครุ่นคิดว่าที่ผ่านมานั้น เวลาเสาจิ่นพูดคุยกับตนไม่เคยแม้แต่จะขึ้นเสียงสูงเลยสักครั้ง
โจวชูจิ่นโกรธจนคล้ายกับจะปวดไปถึงตับ
เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องไปหลายรอบ ไม่ง่ายเลยกว่าอารมณ์จะเย็นลงมาได้หลายส่วน ตัดสินใจจะใช้ไม้อ่อนพูดเกลี้ยกล่อมโจวเสาจิ่นดีๆ ผู้ใดจะรู้ว่าพอหันมาก็เห็นโจวเสาจิ่นมองนางด้วยดวงตารื้นน้ำตา ประหนึ่งเด็กน้อยที่ถูกคนรังแกมาอย่างหนักก็ไม่ปาน
ในใจของโจวชูจิ่นก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางกล่าวขึ้นอย่างไม่อาจระงับความโกรธว่า “เจ้าจงอยู่ที่นี่เสียดีๆ ให้ผ่านไปสักสองสามวันแล้วข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่เมืองเป่าติ้ง ของที่เฉิงจื่อชวนมอบให้เจ้าเหล่านั้น ข้าจะให้ชุนหว่าน…” กล่าวถึงตรงนี้ นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อล้วนเป็นบ่าวคนสนิทของโจวเสาจิ่น เรื่องระหว่างโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือนั้น แค่มองก็รู้แล้วว่ามิใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นชั่วข้ามคืน เป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะไม่รู้…สองคนนี้ไม่เคยเผยพิรุธอะไรต่อหน้านางเลยแม้แต่นิดเดียว…สีหน้าของโจวชูจิ่นจึงเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา นางตะโกนเรียก “ฉือเซียง” เสียงดัง ถามขึ้นว่า “ชุนหว่านมาถึงหรือยัง ให้คนไปเรียกฝานหลิวซื่อมาด้วย…”
โจวเสาจิ่นพลันนึกถึงตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับนางในชาติก่อนขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ให้คนไปเรียกชุนหว่านและฝานหลิวซื่อมาเช่นนี้เหมือนกัน
นางดีดตัวลุกขึ้นมาจับแขนเสื้อของโจวชูจิ่นเอาไว้ “ท่านพี่ ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้!”
โจวชูจิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ สองลมหายใจ กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้าเพียงเรียกพวกนางมาสอบถามดูเท่านั้น ช่วงนี้เจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้างกายไม่อาจไร้คนปรนนิบัติดูแลได้ ซางมามาและเสี่ยวถานล้วนเป็นคนของจวนหลัก ข้าว่าให้พวกนางกลับไปทำงานที่จวนหลักดีกว่า”
ยิ่งนางใช้น้ำเสียงบางเบาพูดกับโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้แน่นไม่ปล่อย แววตาเผยแววขอร้องออกมา
โจวเสาจิ่นทำใจแข็งไม่มองนาง
น้ำตาของโจวเสาจิ่นใกล้จะไหลออกมาแล้ว ทว่ากลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ฝั่งหนึ่งก็เป็นพี่สาวที่มีบุญคุณต่อนางอย่างใหญ่หลวง อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นบ่าวรับใช้ที่จงรักภักดีต่อนาง
นางทั้งไม่อยากทำให้พี่สาวขุ่นเคืองและไม่อยากทำให้ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อเสียใจ
โจวชูจิ่นเห็นท่าทางลำบากใจของโจวเสาจิ่นแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน นางนึกถึงความดื้อดึงของโจวเสาจิ่นเมื่อครู่แล้ว ก็พึมพำกล่าวขึ้นว่า “ไม่จัดการชุนหว่านและฝานหลิวซื่อก็ได้ แต่ก่อนที่ข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองเป่าติ้งนั้น เจ้าจงอยู่แต่ในนี้ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เจ้าทำได้หรือไม่”
โจวเสาจิ่นทำไม่ได้
นางรู้ว่าหากพี่สาวไม่ยอมอ่อนข้อให้ ต่อให้นางพาชุนหว่านและฝานหลิวซื่อกลับเมืองเป่าติ้งแล้ว ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อก็ไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้อยู่ดี
โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านพี่ ท่านให้ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อรั้งอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนเถิดเจ้าค่ะ ทางด้านนี้ท่านมีสาวใช้มากมายขนาดนี้ ท่านแบ่งคนมารับใช้ข้าสักสองคนก็ได้แล้ว ให้ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อรั้งอยู่ที่จิงเฉิงเถิดเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าโจวชูจิ่นย่อมไม่เห็นด้วย
เนื่องจากชุนหว่านและฝานหลิวซื่อปล่อยให้เฉิงจื่อชวนล่วงเกินโจวเสาจิ่น จะลงโทษอย่างไรล้วนไม่เกินไปทั้งนั้น นอกจากนี้ต่อให้เป็นการคิดเผื่อชื่อเสียงของโจวเสาจิ่น ก็เก็บคนสองคนนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว
สองพี่น้องต่างไม่ยอมถอยให้กันอยู่ตรงนั้น
มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “สะใภ้ใหญ่ ซางมามาของซอยอวี๋เฉียนมาเจ้าค่ะ บอกว่านำเสื้อผ้าและของใช้ของคุณหนูรองมาส่งเจ้าค่ะ”
มิใช่บอกว่าให้ชุนหว่านนำเสื้อผ้ามาส่งให้หรอกหรือ
โจวชูจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นกลับผ่อนลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง สีหน้าดูผ่อนคลายลงมา
ต้องเป็นเพราะท่านน้าฉือรู้ว่าชุนหว่านและฝานหลิวซื่อล้วนเป็นคนสนิทของนาง กลัวว่าทั้งสองคนจะถูกพี่สาวลงโทษ ดังนั้นก็เลยให้ซางมามาที่มีฝีมือสูงส่งเอาเสื้อผ้ามาส่งให้นางแทน
โจวชูจิ่นกลับขมวดคิ้วมุ่น


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน