ส่วนเฉิงฉือที่อยู่ไกลถึงเมืองเป่าติ้งในเวลานี้กำลังยืนอยู่หน้าประตูที่ว่าการเมืองเป่าติ้ง
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่าตัวเองประหม่าถึงเพียงนี้
โจวเจิ้นเป็นคนสุขุมมีมารยาท ใจกว้างมีการศึกษา แต่หลังจากเกิดเรื่องของเฉิงสวี่แล้ว เขาจะอนุญาตให้ตนแต่งกับโจวเสาจิ่นหรือไม่นั้น เฉิงฉือไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ไหวซานก้าวออกไปยื่นป้ายชื่อ
หลี่ซื่อรีบให้คนไปแจ้งโจวเจิ้นที่กำลังทำงานอยู่ที่ที่ทำการส่วนหน้า
โจวเจิ้นประหลาดใจเล็กน้อย ถามบ่าวชายที่นำป้ายชื่อเข้ามาให้ว่า “ฮูหยินได้บอกหรือไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร”
บ่าวชายรีบตอบว่า “ฮูหยินบอกเพียงว่าให้ท่านเร่งกลับไป นายท่านสี่ตระกูลเฉิงส่งเทียบมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังเข้ามาทางประตูข้างเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเรื่องด่วนอะไรขอรับ”
โจวเจิ้นวางงานในมือลง รีบสาวเท้ากลับไปที่ด้านหลังของที่ว่าการ
เขาเป็นหัวหน้าของที่ว่าการนี้ หากไม่พักอยู่ในที่ว่าการแต่ไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกแทน อีกทั้งตระกูลโจวก็มิใช่ตระกูลใหญ่โตอะไร จะต้องทำให้คนเกิดความสงสัยว่าเขาฉ้อฉลเป็นแน่ แต่พอพักอยู่ในที่ว่าการ เรื่องแต่งงานของเสาจิ่นก็ถูกผู้อื่นสนใจใคร่รู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นตอนที่ชูจิ่นเสนอขึ้นมาว่าอยากให้เสาจิ่นรั้งอยู่ที่จิงเฉิงเพื่อหาตระกูลที่เหมาะสมให้เสาจิ่นสักตระกูลหนึ่งนั้น เขาจึงเสนอเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวว่าไม่ให้เสาจิ่นแต่งไปอยู่ที่ไกลๆ เท่านั้น กระทั่งซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกัน สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คือที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างจวนสี่และจวนรองนับวันยิ่งจืดจางลงด้วยสาเหตุมาจากเสาจิ่น วันนี้จวนหลักตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิง จวนสี่ไร้ซึ่งการสนับสนุนของจวนหลักแล้ว จะทำให้ลำบากไปด้วยหรือไม่
โจวเจิ้นเขียนจดหมายไปสอบถามจวนสี่หลายฉบับ
ไม่กี่วัน เขาก็ได้รับจดหมายจากเฉิงหยวนนายท่านรองที่รับราชการอยู่นอกเมืองของจวนสี่ บอกว่าในอนาคตอันใกล้นี้เขาอาจจะได้โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตุลาการเมืองหลิ่วโจวที่ก่วงซี ยังลอบบอกโจวเจิ้นเป็นนัยด้วยว่าตำแหน่งนี้เฉิงจิงเป็นคนแนะนำให้
แม้นก่วงซีจะมิใช่สถานที่ที่ดีอะไรนัก แต่หลิ่วโจวนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ที่มากไปกว่านั้นก็คือได้เลื่อนขั้นจากนายอำเภอยศผิ่นขั้นเจ็ดล่างไปเป็นเจ้าหน้าที่ตุลาการยศผิ่นขั้นหกบนอีกด้วย
ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาอยู่เมืองหลวง ก็เรียกเสาจิ่นไปอยู่เป็นเพื่อน
เขาคิดว่าเฉิงสวี่มิได้อยู่จิงเฉิง อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็กำลังเผชิญกับความยากลำบากอันใหญ่หลวงขนาดนี้ คาดว่าสภาพจิตใจคงไม่สู้ดีนัก จึงเรียกเสาจิ่นไปอยู่เป็นเพื่อน เขาก็เลยทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่พูดถึงอะไรทั้งนั้น
เวลานี้เฉิงฉือกลับมาเยี่ยมเขาอย่างกะทันหัน…ไม่รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเสาจิ่น หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเฉิงหรือไม่
เฉิงฉือนั่งรออยู่ในโถงรับรองเพียงครู่เดียว เมื่อเห็นโจวเจิ้นก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ
โจวเจิ้นยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
เฉิงฉือประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากเฉิงซวินมากกว่าพี่ชายทั้งสอง แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าหยิ่งทะนง ทว่าก็มิใช่คนที่เข้าหาได้ง่ายอะไรขนาดนั้น เหตุใดจู่ๆ ถึงทำตัวนอบน้อมต่อเขาถึงเพียงนี้เล่า
หรือว่าเรื่องที่เฉิงฉือจะขอร้องอาจทำให้เขารู้สึกลำบากใจ?
โจวเจิ้นครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ ทว่ามิได้แสดงออกมาบนใบหน้า กล่าวเชิญให้เฉิงฉือนั่งลงยิ้มๆ สั่งให้สาวใช้เด็กไปขอชาต้าหงเผาที่เขาเก็บสะสมเอาไว้กับหลี่ซื่อเพื่อเอามารับรองแขก จากนั้นสนทนาพาทีกับเฉิงฉือว่า “น้องจื่อชวนมาถึงเมืองเป่าติ้งตั้งแต่เมื่อใด รับประทานอาหารเช้ามาแล้วหรือยัง พักอยู่ที่ไหน” กล่าวถึงตรงนี้ เขาเกือบจะหลุดปากบอกให้เฉิงฉือไม่ต้องทำตัวเป็นคนอื่นไกล ให้มาพักกับเขาที่นี่ แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตระกูลเฉิงและตระกูลโจวไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกทั้งเขากับเฉิงฉือก็ไม่ได้สนิทสนมกัน การกล่าวคำพูดเช่นนั้นออกจะทำตัวสนิทสนมเกินไปสักหน่อย เสียงพูดจึงหยุดลงครู่หนึ่ง เก็บคำพูดประโยคเมื่อครู่กลับมา กล่าวต่อว่า “ไม่รู้ว่าน้องจื่อชวนมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ หากไม่มีธุระเร่งด่วนอะไร มิสู้รั้งอยู่รับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันดีหรือไม่ เมืองเป่าติ้งสู้จินหลิงไม่ได้ ยิ่งเทียบไม่ได้กับจิงเฉิง ไม่มีของอร่อยอะไรมากนัก โชคดีที่คนครัวของจวนข้าติดตามมาจากเจียงซีด้วย ทำอาหารเจียงซีหลายรายการได้รสชาติดั้งเดิมยิ่งนัก ที่นี่ข้ายังมีสุราดอกหลีไหเล็กๆ ไหหนึ่ง ได้เอามาดื่มแกล้มกับข้าวด้วยพอดี”
น้องจื่อชวน...
เมื่อก่อนก็รับได้ แต่ว่าตอนนี้…
เฉิงฉือรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้ก็อยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
ในเมื่อเขาตัดสินใจว่าจะสู่ขอเสาจิ่นแล้ว ในอนาคตยังต้องเผชิญหน้ากับเรื่องอีกมากมาย
คำเรียกขานก็เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนนั้นเท่านั้น!
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าโจวไม่ต้องเกรงใจ ข้ามาด้วยเรื่องส่วนตัว”
‘ใต้เท้าโจว’ อีกแล้วหรือ
โจวเจิ้นลอบขมวดคิ้ว
ในเมื่อเฉิงฉือต้องการขีดเส้นแบ่งกับเขา เขาเองก็มิใช่ว่าต้องการจะนับญาติกับตระกูลเฉิงจวนหลักเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าหลังกลับมาจากจิงเฉิงหลี่ซื่อชื่นชมเฉิงฉือเป็นอย่างมาก บอกว่าได้รับการดูแลจากเฉิงฉือมาไม่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังมอบบ้านที่เดิมทีเตรียมเอาไว้ให้เฉิงฉือให้เสาจิ่นด้วยหนึ่งหลัง ให้พวกนางได้มีหน้ามีตาต่อหน้าตระกูลเลี่ยว ยังช่วยนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ให้ได้พบปะกับขันทีใหญ่ของสำนักอาหารและเครื่องดื่มของสำนักพระราชวัง ตอนนี้ได้ทำการค้ากับสำนักพระราชวังขึ้นมา บอกให้เขาเวลาเจอคนของจวนหลัก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกล่าวขอบคุณสักครั้ง…เขาถึงได้ให้เกียรติเฉิงฉือมากขนาดนี้
ถ้าหากนับสถานะกันแล้ว เขาเป็นจิ้นซื่อประจำปีการสอบปิ่งซวี ส่วนเฉิงฉือเป็นจิ้นซื่อประจำปีการสอบเหรินเฉิน เขาสูงกว่าเฉิงฉืออยู่ถึงสองรอบการสอบด้วยซ้ำ!
เขายกจอกชาขึ้นจิบเงียบๆ ไปคำหนึ่ง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้คนต่างพูดกันว่าดอกกล้วยไม้นั้นเลี้ยงยาก เมื่อก่อนข้ามักจะรู้สึกว่าครอบครัวอยุติธรรมกับข้า เหตุใดพี่ใหญ่และพี่รองเรียนหนังสือแล้วได้รับราชการ ความสามารถในการเรียนของข้าก็มิได้ด้อยไปกว่าพวกเขา กลับถูกกักขังให้อยู่บ้านดูแลกิจการของตระกูล จึงมักจะอารมณ์ร้าย เห็นอะไรก็รู้สึกไม่เข้าตาไปเสียหมด มารดาจึงมอบกล้วยไม้เจี้ยนหลานให้ข้ากระถางหนึ่ง ให้ข้าวางมันไว้บนโต๊ะหนังสือและเลี้ยงมันให้ดี…
…ข้าไม่ใส่ใจ…
…ยามอารมณ์ดีก็รดน้ำให้มัน ยามอารมณ์ไม่ดีแค่เห็นกล้วยไม้เจี้ยนหลานกระถางนั้นก็รู้สึกอารมณ์เสียแล้ว…
…รู้สึกว่านั่นเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าตัวเองยังประสบความสำเร็จไม่มากพอ...
…มีหลายครั้งที่ให้คนเอามันไปทิ้งที่สวนดอกไม้แล้วก็ให้คนไปตามหากลับมาอีก...
…อย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นจนชินแล้ว หรือเป็นเพราะข้าทำกับกล้วยไม้เจี้ยนหลานเช่นนี้สุดท้ายมันก็ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจึงอดไม่ได้เริ่มที่จะเอาใจใส่มัน ยังเอามันไปวางบนหน้าต่างเพื่อรับลมเป็นครั้งคราวอีกด้วย…
…ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน กล้วยไม้เจี้ยนหลานกระถางนั้นก็เติบโตสูงใหญ่ ตั้งตระหง่านและงดงาม…
…ข้าจึงตัดกิ่งและรดน้ำให้มันบ่อยๆ…
…อย่างค่อยเป็นค่อยไป ข้าค้นพบว่าการเลี้ยงดอกไม้ก็เป็นเรื่องน่าสำราญใจไม่น้อย…
…มันจะงอกใบอ่อนๆ ออกมา ยามอากาศดีก็เหยียดกิ่งก้านออก ทุกครั้งที่ข้ามองสำรวจมันอย่างละเอียดมันมักจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยอยู่เสมอ บางทีสองสามวันก่อนยังเหยียดกิ่งก้านไปทางตะวันออก ทว่าสองวันนี้กลับเริ่มเจริญเติบโตไปทางตะวันตก บางทีใบของกิ่งที่ถูกกดเอาไว้ก็พยายามหาทางโผล่ออกมาโดยที่ไม่ได้สังเกต เผยใบสีเขียวอ่อนออกมา…มันก็เหมือนกับเด็กขี้อายผู้หนึ่ง ตอนที่ข้าไม่ได้จับตาดูมันก็จะเล่นสนุกอย่างซุกซน…
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน