หลี่ซื่อได้ยินแล้วพลันมึนงงขึ้นมาทันที
นางเปล่งเสียงเรียก “นายท่าน” ออกมาเสียงหนึ่งอย่างกระวนกระวาย เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เรื่องที่ข้าไปจิงเฉิง มิใช่ว่าอธิบายให้ท่านเข้าใจหมดแล้วหรือ ข้าไปเพื่อดูแลต้ากูไหน่ไนช่วงอยู่เดือนหลังจากคลอดลูก! นอกจากพักอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่แล้วข้าก็พักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน ในระหว่างนั้นออกไปข้างนอกเพียงสองถึงสามครั้งเท่านั้น ทุกครั้งล้วนมีคุณหนูรองอยู่เป็นเพื่อนด้วยตลอด ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดนายท่านสี่ตระกูลเฉิงถึงแนะนำการค้าให้พี่ใหญ่ของข้านั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ! วันนั้นก็เพียงพบกันโดยบังเอิญและเอ่ยขึ้นมาในตอนนั้นเท่านั้น หลังจากกลับมาพี่ใหญ่ของข้ายังคิดว่าเป็นเพียงคำพูดบนโต๊ะสุรา มิได้เอามาคิดเป็นจริงเป็นจัง วันต่อมาตอนที่พ่อบ้านผู้หนึ่งของนายท่านสี่ตระกูลเฉิงมาหานั้น พี่ใหญ่ของข้ายังคิดว่าฝันอยู่เลยเจ้าค่ะ!…
…ส่วนบ้านของเสาจิ่นนั้น นายท่านสี่ตระกูลเฉิงบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนให้เขาจัดการให้…ใครบ้างไม่ชอบที่ตัวเองมีเงินทองมาก พอไม่มีอะไรทำก็เลยใช้เงินจำนวนมากซื้อบ้านมอบให้ผู้อื่นกัน! นอกจากนี้ตอนนั้นต้ากูไหน่ไนเองก็อยู่ด้วย จึงรู้เรื่องนี้ดี…
…เรื่องนี้มีความผิดปกติอะไรนั้น ข้าไม่ทราบจริงๆ เจ้าค่ะ!”
“นายท่าน” นางร้อนใจจนน้ำตาจะร่วงหล่นลงมาแล้ว “ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะปิดบังท่านเลย! ไม่ทราบว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิงพูดอะไรกับท่านบ้าง ข้ายินดีไปเผชิญหน้ากับเขาเจ้าค่ะ!”
เมื่อหลี่ซื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าซีดเผือด ดวงหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
โจวเจิ้นเต็มไปด้วยอาการกรุ่นโกรธ แต่เมื่อมองดวงหน้าร้าวรานใจของหลี่ซื่อแล้ว เขาก็รู้สึกไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เจ้าคิดเลอะเทอะอะไรกัน ถ้าหากมิใช่เพราะเชื่อใจเจ้า ข้าจะให้เจ้าไปดูแลชูจิ่นตอนอยู่เดือนได้อย่างไรกัน”
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค ดวงหน้าของหลี่ซื่อก็ดูเบิกบานขึ้นมาแล้ว
“ท่าน…ท่านเชื่อใจข้าจริงๆ หรือเจ้าคะ” นางรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าว
โจวเจิ้นขาน “อืม” เสียงหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก พลางกล่าว “เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีขนาดนี้ เจ้าเป็นคนเช่นไร ในใจข้าย่อมรู้ดี”
ดวงหน้าของหลี่ซื่อพลันสดชื่นและร่าเริง หัวสมองก็เริ่มทำงานครุ่นคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน!” นางนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา รีบเอ่ยถามว่า “หรือว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลเฉิงเจ้าคะ?”
โจวเจิ้นเอ่ยกระแนะกระแหนขึ้นว่า “ในที่สุดตอนนี้ข้าก็รู้ว่าคำว่าไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้นั้นมาได้อย่างไร”
หลี่ซื่อหน้าแดงคล้ายเมฆอมชมพูยามเช้า ทว่าในใจกลับรู้สึกหอมหวาน ไม่มีความขุ่นเคืองเลยสักสาย
สามีบอกว่าเชื่อใจในตัวนาง!
ไม่มีอะไรทำให้นางรู้สึกว่าได้ผลตอบแทนคืนจากทุกอย่างที่จ่ายออกไปได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
นางยิ้มร่าพลางถามว่า “แล้วตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่หรือเจ้าคะ”
โจวเจิ้นไม่ตอบ
ตามหลักแล้ว หลี่ซื่อไม่ควรถามต่อแล้ว แต่คำพูดของโจวเจิ้นเมื่อครู่ทำให้นางมีความกล้า นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ตลอดหลายปีที่ข้าแต่งกับท่านมา ท่านดีกับข้ามาตลอด ถ้าหากว่าการค้าของพี่ใหญ่ของข้าทำให้ท่านลำบากใจ ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่ของข้า ให้เขาไม่ต้องการทำค้ากับสำนักพระราชวังแล้ว ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่ของข้าไม่มีทางเห็นแก่เงินทองจนไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอย่างแน่นอน...”
โจวเจิ้นย่นคิ้วขึ้นพลางกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร!” กล่าวจบก็ทำท่าจะเดินจากไป
ทั้งไม่ใช่เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลเฉิง และมิใช่เพราะเรื่องที่พี่ชายของนางไปทำการค้ากับสำนักพระราชวัง เช่นนั้นตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่
หลี่ซื่อรู้สึกยิ่งมึนงงหนักเข้าไปอีก
นางคว้าโจวเจิ้นเอาไว้ ทำใจกล้ากล่าวขึ้นว่า “นายท่าน ท่านไม่บอกข้า แล้วข้าจะทราบได้อย่างไรว่าตกลงท่านต้องการถามอะไรกันแน่ ท่านเองก็ทราบ ข้าไม่ใช่คนเฉลียวฉลาดอะไร มักจะไม่เข้าใจความคิดของท่านอยู่บ่อยๆ แต่ท่านบอกข้าได้นี่นา! ข้าไม่มีทางทำลายปณิธานของท่านอย่างแน่นอน!”
นี่ก็จริง!
นับตั้งแต่หลี่ซื่อแต่งกับเขาเป็นต้นมา ไม่เพียงนาง แม้แต่ตระกูลหลี่ก็เดินตามการนำของเขามาโดยตลอด
โจวเจิ้นหยุดฝีเท้าลง ครุ่นคิดอยู่กับตัวเองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลี่ซื่อรีบกล่าว “นายท่าน ท่านมีเรื่องอะไรก็บอกข้ามาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือมิใช่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เขาดูแลกิจการขนาดใหญ่ของจวนหลักได้ ย่อมมิใช่คนธรรมดา
ที่เขามาพูดเรื่องสู่ขอ ย่อมมิใช่ความคิดชั่ววูบอย่างแน่นอน
ถ้าหลี่ซื่อไม่รู้เรื่องของเสาจิ่นจริง พวกเขาสองคนมีปากเสียงกันที่โถงรับรอง ขอเพียงหลี่ซื่อมีใจอยากรู้ ด้วยฐานะนายหญิงของบ้าน นางย่อมรู้ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากว่าหลี่ซื่อรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดละก็ การที่ตนปิดบังเอาไว้ยังจะมีประโยชน์อะไร
โจวเจิ้นเล่าเรื่องที่เฉิงฉือมาสู่ขอเสาจิ่นให้หลี่ซื่อฟังเสียงเคร่ง
หลี่ซื่อได้ยินแล้วราวกับคนเบื้อใบ้
มิน่าสามีถึงต้องการมาสอบถามนาง!
มอบคนให้นางเป็นคนดูแลแล้วกลับเกิดเรื่องขึ้น หากไม่มาหานางแล้วจะไปหาผู้ใด
นางไม่พบความผิดปกติอะไรเลยจริงๆ!
แล้วเรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เวลาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่พบความผิดปกติอะไรเลยนี่นา…
หรือว่าเป็นเรื่องที่เกิดหลังจากที่นางเดินทางออกจากจิงเฉิงมาแล้ว?
แค่มองท่าทางของนางโจวเจิ้นก็รู้แล้วว่านางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ
เขาถอนหายใจยาวครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ หรือ”
“ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ เจ้าค่ะ!” กระบอกตาของหลี่ซื่อแดงเรื่อขึ้นมา “ทั้งสองคนต่างอยู่ในกฎระเบียบ ไม่เคยมีคำพูด การกระทำหรือกิริยาที่ไม่เหมาะสมเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่รู้เรื่องอะไรประหนึ่งถูกกักขังอยู่ในกลองเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าเสาจิ่นและเฉิงฉือจะมีอะไรกันหรือไม่ แม้แต่คนที่อยู่กับเสาจิ่นทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างหลี่ซื่อยังไม่เห็นระแคะระคายอะไร เช่นนั้นผู้อื่นก็ย่อมมองไม่ออกเหมือนกัน
เมื่อความคิดหนึ่งวาบผ่าน โจวเจิ้นราวกับถูกสายฟ้าฟาด
หรือว่า…เสาจิ่นจะยินยอมพร้อมใจด้วย?
ไม่อย่างนั้นเพียงนางเผยความผิดปกติออกมาแม้เพียงเล็กน้อย หลี่ซื่อย่อมจะสังเกตเห็น…หรือบางที อาจจะเป็นเฉิงฉือที่ล่อลวงนาง?
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน