เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับบีบจมูกของโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ากลายเป็นคนฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
โจวเสาจิ่นถอยหลังหลบมือของเฉิงฉือ
เฉิงฉือหัวเราะร่า
ทั้งสองคนก่ายกอดพูดคุยกันอยู่บนตั่งกว่าครึ่งค่อนวัน เฉิงฉือเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว กลัวว่าประเดี๋ยวตัวเองจะดื่มด่ำอยู่ในดินแดนแห่งความอบอุ่นแสนหวานแล้วจะยิ่งไม่อยากจากไป จึงหอมแก้มโจวเสาจิ่นพร้อมกับกระซิบเสียงเบาว่า “รีบปักเอี๊ยมชั้นในให้เสร็จแล้วแต่งให้ข้าเร็วๆ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำจนคล้ายจะหลั่งโลหิตออกมาได้ ร้องคำว่า “บ้า” ใส่เฉิงฉือเสียงหนึ่ง แล้วดันตัวเฉิงฉือออกจากประตูเรือนไป ทว่ากลับปีนขึ้นตั่งไปอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ มองเงาหลังของเฉิงฉือที่เดินจากไปผ่านช่องกระจกหน้าต่างอย่างอาลัยอาวรณ์
เฉิงฉือราวกับสัมผัสได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ของนาง หันศีรษะกลับมาโบกมือให้นาง แล้วถึงได้ออกจากประตูชั้นในไป
หัวใจของโจวเสาจิ่นเต้นตึกตักวุ่นวายไปหมด กว่าครู่ใหญ่ถึงได้สงบลงมาได้ มองเอี๊ยมชั้นในที่ปักเสร็จไปกว่าครึ่งในมือ สั่งให้ชุนหว่านไปเปิดหีบและหาผ้าไหมหูโจวสีม่วงไร้ลวดลายออกมาหนึ่งพับ ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วนำผ้ามาเทียบบนร่างไปมา ยังกระซิบถามชุนหว่านเสียงเบาด้วยว่า “ข้าสวมสีนี้ดูดีหรือไม่”
ชุนหว่านเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “ดูดีเจ้าค่ะ ช่างขับผิวขาวเนียนดั่งหิมะแรกของท่านยิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง ตัดผ้าผืนนั้นเป็นเอี๊ยมชั้นในชิ้นหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วก็หาผ้าไหมหูโจวสีชมพูไร้ลวดลายออกมาอีกพับหนึ่ง แล้วก็ตัดเป็นเอี๊ยมชั้นในอีกตัวหนึ่งด้วยเช่นกัน…
ส่วนทางด้านของโจวเจิ้นนั้นเนื่องจากมีซ่งจิ่งหรานผู้เป็นเจ้ากรมการคลังและที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งตะวันออกกับจางฮุ่ยผู้เป็นรองเจ้ากรมโยธาทั้งสองคนออกหน้ามาสู่ขอให้เฉิงฉืออย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก ซ่งจิ่งหรานผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่เอาวันแต่งงานของเฉิงฉือมาผูกติดกับการขุดลอกคูคลองแม่น้ำเหลืองช่วงที่ไม่มีการทำการเกษตรในฤดูหนาว ไม่ว่าจะด้วยเหตุและผลแล้วโจวเจิ้นล้วนไม่อาจปฏิเสธได้
วันแต่งงานของโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือจึงถูกกำหนดให้เป็นวันที่สองหลังวันปักปิ่นของโจวเสาจิ่น หรือก็คือวันที่หกเดือนสิบเอ็ดนั่นเอง
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้รับกำหนดวันแต่งงานที่แน่นอนแล้วก็ดีใจจนปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด นางและพ่อบ้านใหญ่ฉินฉินโส่วเยว์เรียกตัวฉินจื่ออันและฉินจื่อผิงกลับมาทั้งหมด ให้พวกเขาช่วยกันเขียนเทียบเชิญ
ฉินจื่อผิงและจี๋อิ๋งนั้นไม่ต่างกับคู่รักคู่กัด มีเรื่องทะเลาะอึกทึกกันตลอด เพิ่งจะกำหนดวันแต่งงานเป็นวันที่สี่เดือนสิบได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง
ด้วยเหตุนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองฉินจื่อผิงแล้วจึงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกับพ่อบ้านใหญ่ฉินว่า “ช่วงเวลานี้ของปีหน้าคงจะได้ยินเสียงร้องกระจองอแงของเด็กๆ กันแล้ว”
ก็เท่ากับว่ามีทายาทสืบสกุลแล้ว
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างคิดไปในทางเดียวกันแล้วก็พากันปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถามขึ้นว่า “จื่อผิงแต่งงานแล้วก็คงกลับซื่อชวนเลยกระมัง”
ฉินโส่วเยว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนเป็นเด็กข้าเคยตามบิดากลับไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ว่าจะลองไปดูก่อน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงโน้มน้าวว่า “เมื่อก่อนข้าไม่ชอบอยู่จิงเฉิง เนื่องจากว่าญาติพี่น้องและสหายของข้าล้วนอยู่จินหลิงกันหมด แต่ต่อมาเมื่อบิดาของพวกเขาจากไปแล้ว พวกลูกๆ ต่างอยู่จิงเฉิงหมด ข้าจึงคิดเรื่องย้ายมาอยู่จิงเฉิงอีกครั้ง จะได้อยู่ใกล้พวกลูกๆ สักหน่อย กล่าวไปกล่าวมา จะอยู่ที่ไหนล้วนเป็นเรื่องรอง ที่ไหนที่มีคนที่พวกเราคุ้นเคยและมีญาติสนิทมิตรสหายอยู่ด้วยต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด เจ้ากลับไปดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เพื่อธุระของตระกูลเฉิงของพวกข้าแล้ว ทำให้ถ่วงเวลาของพวกเจ้า แต่ถ้าอยู่ทางด้านโน้นแล้วไม่คุ้นชินจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับความคิดที่ว่าจะต้องกลับไปให้ได้ ย้ายมาอยู่จิงเฉิงเถิด! พวกเราสองครอบครัวก็จะได้มีคนที่ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้สักคนหนึ่ง”
ฉินโส่วเยว์พยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิด ข้าเองก็มิใช่คนดื้อดึงประเภทนั้น ครอบครัวฝั่งจื่อโหยวพวกเขาอยากจะรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไป เช่นนั้นก็ให้พวกเขารั้งอยู่กับตระกูลเฉิงต่อไปก็แล้วกัน คนที่จื่อผิงแต่งงานด้วยคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลจี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลจี้นั้นมีฝีมือดียิ่ง ดังนั้นข้าถึงได้เตรียมจะพาพวกเขาสองสามีภรรยากลับไปที่ซื่อชวน ส่วนจื่ออัน หากเขาอยากรั้งอยู่ที่จิงเฉิง ข้าก็แล้วแต่เขา”
ดูจากความขุ่นแค้นของตระกูลเฉิงแล้ว เขาพลันรู้สึกว่าชีวิตคนนั้นแสนสั้นนัก คนที่มีชีวิตอย่างที่ใจปรารถนาได้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าฉินจื่อผิงสองสามีภรรยาจะรั้งอยู่ที่ซื่อชวนกับฉินโส่วเยว์หรือไม่ ความสัมพันธ์ของตระกูลฉินและตระกูลเฉิงก็ยังเหมือนเดิมมิได้สิ้นสุดลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าอย่างพึงพอใจ
ฉินจื่ออันที่กำลังเขียนเทียบเชิญอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน กล่าวเสียงเคร่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านปู่ ข้าอยากขออะไรพวกท่านสักอย่างขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบกล่าวขึ้นว่า “เรื่องอะไรหรือ เจ้าว่ามาเถิด”
ฉินโส่วเยว์เองก็มองหลานชายของตนด้วยความแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน
ฉินจื่ออันกล่าว “ข้าอยากขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าและท่านปู่อนุญาตให้ข้าสู่ขอหนานผิงมาเป็นภรรยาขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฉินโส่วเยว์มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
แม้แต่ฉินจื่อผิงเองก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจเช่นกัน
ใบหน้าเคร่งขรึมเด็ดเดี่ยวของฉินจื่ออันขึ้นสีแดงเรื่อเป็นสองดวง กล่าวเสียงพร่าว่า “ข้าชอบหนานผิงมาตั้งแต่เด็กแล้ว ต่อมาหนานผิงหมั้นหมายกับพี่ใหญ่ ข้าจึงเห็นนางเป็นดั่งพี่สะใภ้ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่จากไปหลายปีแล้ว ข้าไม่อาจทนปล่อยให้หนานผิงเอาแต่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ที่หากไม่เย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้นายท่านสี่ ก็ไปหลบสวดพระธรรมอยู่ในห้องพระเล็กเช่นนั้นได้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิใช่คนหัวโบราณคร่ำครึประเภทนั้น พอได้ยินแล้วนางก็ปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าต้องไปถามหนานผิง หากนางยินดี ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย”
ฉินโส่วเยว์ไม่ได้กล่าวอะไร
ฉินจื่ออันรีบกล่าว “ท่านปู่ ข้าอยากสู่ขอหนานผิง มิใช่ว่าท่านอยากให้มีคนสายหนึ่งของพวกเรากลับไปอยู่ที่บ้านเดิมหรอกหรือ มิสู้ให้ข้ากับหนานผิงกลับไปอยู่บ้านเดิมจะดีกว่า”
อยู่ที่นั่น ไม่มีใครรู้สถานะของหนานผิง
พวกเขาจะมีชีวิตอย่างมีความสุขได้
ฉินโส่วเยว์ครุ่นคิดกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้พยักหน้าเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดเช่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่า เด็กผู้นั้นมีชะตาชีวิตที่ขมขื่น ทว่าก็ไม่อาจดูแคลนนาง เรื่องนี้ต้องให้นางตอบตกลงด้วยตัวเอง”
ฉินจื่ออันลุกพรวดขึ้นมาในทันใด โขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฉินโส่วเยว์
ฉินจื่อผิงลอบก่นด่าพี่ชายอยู่ในใจไปคำรบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน