แม้นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะไม่รู้ว่าปีนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ในสายตานางโจวเสาจิ่นเป็นเด็กสาวที่อ่อนแอและขลาดกลัวประเภทนั้น หากจะมีใครสักคนที่เข้ากับโจวเสาจิ่นไม่ได้ นั่นย่อมต้องเป็นคนผู้นั้นที่มีปัญหา
ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงของอู๋เป่าจาง นางเพียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน รีบสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ที่ยืนสั่งการบ่าวรับใช้เคลื่อนย้ายหีบสัมภาระอยู่ด้านนอกนั้นกลับมิได้โชคดีเช่นนั้น
นางพอจะรู้มาบ้างไม่มากก็น้อยว่าอู๋เป่าจางมีนิสัยที่ใช้ไม่ได้ เป็นคนที่ชอบยุยงปลุกปั่นให้เกิดปัญหา ตอนที่โจวเสาจิ่นยังอยู่ตระกูลเฉิงนั้นก็ค่อนข้างระมัดระวังตัวกับอู๋เป่าจางพอสมควร นับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าตระกูลเฉิงเป็นต้นมา จึงพยายามรักษาระยะห่างกับอู่เป่าจางเอาไว้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ได้ยินคำถามของอู๋เป่าจาง กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้จึงตอบรับคำยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เห็นอู๋เป่าจางสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดปักลวดลายสีทอง ปักปิ่นทองคำฝังมุก แต่งกายอย่างประณีตงดงาม จึงเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนายิ้มๆ ว่า “วันนี้ท่านเตรียมจะไปวัดหรือเตรียมจะกลับบ้านเดิมเจ้าคะ”
ตั้งแต่แต่งงานกับเฉิงนั่วเป็นต้นมา ท้องของอู๋เป่าจางยังคงเงียบเชียบไม่มีความเคลื่อนไหวใด เชิญท่านหมอโจวและโจวเหนียงจื่อมาตรวจร่างกายดูแล้ว ล้วนบอกว่าอู๋เป่าจางไม่มีปัญหาอะไร ยาบำรุงต่างๆ ก็รับประทานไปไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ
ไม่ถึงครึ่งปี ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ชี้หน้าด่าจนเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมา
อู๋เป่าจางก้มหน้าก้มตาปล่อยให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นทำตัวไร้เหตุผลไป
ทุกคนในซอยจิ่วหรูทั้งบนและล่างต่างเห็นใจนางเป็นอย่างยิ่ง รู้ว่านี่เป็นเพราะฮูหยินใหญ่เวิ่นเอาความโกรธที่ได้รับมาจากนายท่านใหญ่เวิ่นไปลงที่อู๋เป่าจาง
ต่อมาได้สะใภ้ใหญ่สือของจวนรองออกหน้าช่วยพูดให้ ชีวิตของนางถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ไม่กี่วันต่อมา ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็คิดอะไรขึ้นมาได้อีก พาหลานสาวสถานะตกต่ำจากบ้านเดิมเข้ามาผู้หนึ่ง บอกว่าต้องการยกให้เป็นภรรยาของเฉิงนั่ว
สะใภ้ใหญ่สือไปเกลี้ยกล่อมหลายต่อหลายครั้ง ล้วนถูกฮูหยินใหญ่เวิ่นไล่ออกมา สุดท้ายเป็นนายหญิงผู้เฒ่าถังเรียกฮูหยินใหญ่เวิ่นไปสั่งสอนอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เวิ่นถึงได้ยอมสงบลง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมส่งตัวหลานสาวผู้นั้นกลับบ้านเดิม เลี้ยงเอาไว้ที่จวนห้าอย่างคลุมเครือเช่นนั้นต่อไป เฉิงนั่วผู้นั้นก็ไม่ช่วยพูดแทนอู๋เป่าจางสักประโยค ทำให้อู๋เป่าจางอยู่ที่จวนห้าด้วยสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อาจจะเป็นเพราะอู๋เป่าจางรู้สึกเสียหน้า ช่วงนี้จึงมักจะสวมอาภรณ์สีแดงสด หากไม่ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดก็จะกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมสักสองสามวัน
นายหญิงผู้เฒ่าถังและคนอื่นๆ รู้สึกว่าชีวิตของนางช่างขมขื่น จึงเห็นใจนางมากกว่าตำหนิต่อว่า ก็เลยปล่อยให้นางออกไปได้ตามใจ
ได้ยินกูที่สิบเจ็ดกู้ถามเช่นนี้ กระบอกตาของอู๋เป่าจางพลันแดงเรื่อขึ้นมาในทันใด กล่าวขึ้นว่า “ข้าเตรียมจะไปวัด ได้ยินว่ามีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าเสียนเซิ่งอัน ขอบุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก”
เป็นหนึ่งประโยคที่ทำให้กูที่สิบเจ็ดกู้ไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อดี
กลับเป็นอู๋เป่าจางที่ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่หางตาอย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มออกมา พลางกล่าว “เตรียมของมากมายขนาดนี้ พวกเจ้าจะไปอยู่นานเพียงใดหรือ พี่สะใภ้เก้าก็ไปด้วยหรือไม่ ข้าโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยไปจิงเฉิงเลยสักครั้ง”
ไม่ปิดบังความรู้สึกอิจฉาของนางเลยแม้แต่น้อย
กูที่สิบเจ็ดกู้บังเกิดความรู้สึกระแวดระวังตัว
ตอนอยู่ตระกูลกู้นางเคยเจอผู้คนมามากมาย คำพูดและการกระทำของอู๋เป่าจางมักจะทำให้นางรู้สึกว่าอู๋เป่าจางมาด้วยเจตนาแอบแฝง
กูที่สิบเจ็ดกู้ขานรับอย่างคลุมเครือไปเสียงหนึ่ง พลางกล่าวว่า “มิใช่ว่าพี่สะใภ้ต้องไปวัดหรอกหรือ รีบไปรีบกลับเถิด! เวลาก็ไม่เช้าแล้ว”
อู๋เป่าจางกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไหนๆ ข้ามาแล้ว อย่างไรก็ต้องก็ไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าสักครั้งหนึ่งก่อน รอให้ข้าไปคารวะทักทายนายหญิงผู้เฒ่าเสร็จแล้วค่อยไปวัดก็ยังไม่สาย!”
เรื่องเช่นนี้กูที่สิบเจ็ดกู้จะขัดขวางได้อย่างไร
จำต้องเดินเข้าห้องโถงไปพร้อมกับนาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังคุยอยู่กับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน เหอเฟิงผิงนั่งเอนหลังโดยมีซื่อเอ๋อร์และอีกหลายๆ คนปรนนิบัติรับประทานของว่างและดื่มน้ำชา
นัยน์ตาของอู๋เป่าจางมีสายตาอ่านยากสายหนึ่งวาบผ่าน
เป็นบุตรสะใภ้เหมือนกัน ตอนที่เหอเฟิงผิงแต่งเข้ามาใหม่ๆ ก็มีช่วงที่ยังไม่ตั้งครรภ์เหมือนกันมิใช่หรือ กูที่สิบเจ็ดกู้ผู้นั้นก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน แต่ชะตาของแต่ละคนกลับต่างกันราวกับผู้หนึ่งอยู่บนสรวงสวรรค์อีกผู้หนึ่งอยู่ใต้พื้นนรกก็ไม่ปาน...จะว่าไปแล้ว ปีนี้บิดาของนางก็ได้รับการประเมินว่า ‘ยอดเยี่ยม’ อีกแล้ว ขอเพียงอดทนไปอีกเก้าปี ไม่ว่าอย่างไรก็ได้รับยศสามล่างสักตำแหน่งอย่างแน่นอน
นึกถึงตรงนี้แล้ว นางบิดผ้าเช็ดมือในมือแน่นขึ้น ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมา ก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมิใช่คนที่ชอบกลั่นแกล้งคนรุ่นเด็กให้อับอายประเภทนั้น ยิ้มพลางสนทนากับนางครู่หนึ่ง จากนั้นอู๋เป่าจางก็กล่าวขอตัวลา
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนถามอย่างแปลกใจว่า “นางมาทำไมหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่เก็บมาใส่ใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “คงไม่มีอะไรทำเลยเผลอเดินมาที่นี่โดยไม่รู้ตัวกระมัง”
กูที่สิบเจ็ดกู้กลับรู้สึกว่าเรื่องราวมิได้ง่ายดายเพียงนั้น แต่ในเมื่อผู้ใหญ่เอ่ยเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่อยากทำให้เป็นเรื่อง อีกทั้งเนื่องจากตั้งแต่ที่เหอเฟิงผิงตั้งครรภ์เป็นต้นมา หน้าที่ช่วยฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้านจึงตกมาอยู่ที่กูที่สิบเจ็ดกู้ ตอนนี้กูที่สิบเจ็ดกู้จะต้องติดตามผู้ใหญ่เดินทางไปจิงเฉิง จึงต้องส่งมอบงานต่างๆ ในบ้านให้เหอเฟิงผิงใหม่อีกครั้ง นางและเหอเฟิงผิงจึงคุยเรื่องมอบหมายงานในบ้านขึ้นมาแทน
เหอเฟิงผิงพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “หรือไม่ ให้สามีตามพวกท่านไปด้วยดีหรือไม่ ในบ้านไม่ได้มีเรื่องอะไรมาก ข้าพอจะจัดการได้เจ้าค่ะ”
นางรู้ดีว่างานแต่งงานของโจวเสาจิ่นในครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่ง ไม่เพียงได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากัวของจวนหลัก ยังได้พบปะกับบรรดาพี่ชายน้องชายของตระกูลเฉิงอีกด้วย ที่บิดาของนางมีวันนี้ได้ก็เพราะเดินอยู่บนถนนสายเดียวกับเฉิงจิงนั่นเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนส่ายศีรษะ จับมือของเหอเฟิงผิงเอาไว้กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “อีกไม่กี่เดือนเจ้าก็จะคลอดแล้ว ตามหลักแล้วข้าและแม่สามีของเจ้าไม่ควรจะออกจากบ้านด้วยซ้ำ แต่เจ้าเองก็รู้ ซอยจิ่วหรูในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว หากพวกเราไม่วางแผนเสียแต่เนิ่นๆ ต่อไปเกรงว่าชีวิตคงจะยากลำบากยิ่งกว่านี้ ครั้งนี้เป็นพวกข้าที่ทำผิดต่อเจ้า หากยังให้เก้าเกอเอ๋อร์ไปจิงเฉิงด้วยอีกคน ตอนที่เจ้าคลอดผู้ใดจะดูแลเจ้า เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย ถ้าหากว่าพ่อสามีของเจ้าพูดคุยกับจวนหลักได้ เก้าเกอเอ๋อร์ไม่ไปก็มิใช่ปัญหา นอกจากนี้ที่เมืองหลวงก็ยังมีญาติผู้น้องตระกูลโจวของเจ้าอยู่ด้วยอีกสองคน!”
เหอเฟิงผิงได้แต่ต้องตอบรับ
อู๋เป่าจางออกจากจวนสี่ไปอย่างใจลอย มิได้เดินทางไปวัด ทว่าเดินไปหานายท่านใหญ่เวิ่นที่ห้องหนังสือของเรือนชั้นนอก
นายท่านใหญ่เวิ่นกำลังเคร่งเครียดอยู่กับรายจ่ายของครอบครัวอยู่ ได้ยินว่าอู๋เป่าจางมาขอพบ เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
แม้นอู๋เป่าจางมักจะโดนฮูหยินใหญ่เวิ่นฟาดฟันใส่อยู่บ่อยๆ อีกทั้งบุตรชายก็เป็นคนประหลาดผู้หนึ่ง แต่อู๋เป่าจางก็ไม่เคยเอาเรื่องไปบ่นให้ที่บ้านเดิมฟังเลยสักครั้ง ยิ่งไม่เคยมาพูดจาไม่ดีถึงแม่สามีและสามีต่อหน้าเขาผู้เป็นพ่อสามีเลยสักคำ ด้วยเหตุนี้คนที่มีประสบการณ์ความขมขื่นจากฝีปากของสตรีมามากอย่างนายท่านใหญ่เวิ่นจึงยังมีภาพความประทับใจต่ออู๋เป่าจางอยู่มาก
เขาจึงใจดีไม่คิดไปถือสาเอาความกับเรื่องที่อู๋เป่าจางมาขอพบเขาด้วยตัวเองแทนที่จะส่งมามาข้างกายนำความมาแจ้ง เขาให้บ่าวชายพาอู๋เป่าจางเข้ามา


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน