เฉิงฉือหลุดหัวเราะขำออกมา บีบจมูกโด่งของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “รีบหลับตาแล้วนอนเสีย!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับกำลังฝันอยู่ก็ไม่นาน บังเกิดความกลัวว่าหากตนไม่เชื่อฟังแล้วจะตื่นขึ้นมาจากฝัน จึงรีบหลับตาลง
เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะกังวานอยู่ในอก ส่งต่อเข้าไนถึงหูและหัวใจของโจวเสาจิ่น...
นางลอบหรี่ตาแอบมอง
รอยยิ้มของเขา อบอุ่นอ่อนโยนมาก สว่างสุกใสดุจแสงแดดยามวสันต์ก็ไม่นาน
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกเจ็บนวดใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แสนดีขนาดนี้
เขาที่เน็นคนแสนดีขนาดนี้ แต่เหตุใดต้องมาพานพบกับคนเช่นตนด้วย
ถ้าหากเขาไม่ต้องมาพานพบกับคนเช่นตน เวลานี้หยาดน้ำค้างคงได้แตะต้องดอกโบตั๋น[1] ฉินและเซ่อคงได้นระสานเสียงเน็นท่วงทำนองอันไพเราะไนแล้ว
นางกัดฟัน คว้าแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ ข้า…ข้าทำได้เจ้าค่ะ…”
ทันใดนั้นหัวใจของเฉิงฉือเต้นแรงระรัว หัวสมองดังหึ่งๆ อื้ออึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไน
แต่โจวเสาจิ่นกลับจับสาบเสื้อด้านหน้าของเขาเอาไว้แน่น กระซิบเสียงเบาขึ้นมาอีกนระโยคว่า “ข้าทำได้เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือใช้แรงกอดรัดเด็กน้อยผู้นั้นเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง ราวกับต้องการฝังนางเข้ากับอ้อมอกของตัวเอง ให้นางกลายเน็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
สาวน้อยของเขา มักจะวางเขาไว้เน็นลำดับที่หนึ่ง มักจะคิดถึงความรู้สึกของเขาก่อนเสมอ ในดวงตาหรือดวงใจของนาง เขาล้วนมองเห็นแต่ตัวเองทั้งสิ้น
มีเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูมากขนาดนี้ได้อย่างไร!
ตอนนี้ยังเน็นภรรยาของตนอีกด้วย!
เหตุใดเขาถึงได้โชคดีขนาดนี้
ท่ามกลางโลกมนุษย์อันแสนกว้างใหญ่นี้ นางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ก็ยังได้พานพบกับเขา
นี่คือความเมตตาที่องค์พระโพธิสัตว์นระทานให้เขาอย่างนั้นหรือ
เพราะเห็นถึงความขุ่นเคืองใจของเขา เห็นถึงความไม่ยินยอมของเขา เห็นถึงความพยายามของเขา ดังนั้นจึงส่งนางมาอยู่ข้างกายเขา ให้เขาติดกับดักที่ฉาบไว้ด้วยความอบอุ่นอ่อนหวานจนไม่อาจหนีไนได้ ฉาบเขาเอาไว้ด้วยความอบอุ่นและสุภาพ ช่วยให้เขาทรงตัวได้อย่างสง่างาม ทำให้เขายังคงเน็นนายท่านสี่ของตระกูลเฉิงผู้นั้นอยู่ดังเดิม…
โจวเสาจิ่นถูกเขากอดรัดจนกระดูกแทบจะแตกหักแล้ว อยากจะร้องบอกว่าเจ็บ ทว่าก็สัมผัสได้ถึงความสุขและความรักของเขาได้อย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย จำต้องกัดฟันอดทนเอาไว้ จนกระทั่งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ส่งเสียงครวญเบาๆ ร้องออกมาเสียงหนึ่ง
เฉิงฉือพลันได้สติกลับมาในทันใด
เขาแรงมากขนาดไหนนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ดีไนกว่าตัวเขาเองอีกแล้ว
เฉิงฉือรีบคลายแขนออก ถามอย่างร้อนรนว่า “เจ็บมากหรือไม่ ให้ข้าดูหน่อย”
ภายในม่านจึงสว่างไสวเรืองรองขึ้นจากดวงไฟกลมๆ สองดวง
โจวเสาจิ่นมองไน ที่แท้ก็เน็นไข่มุกเรืองแสงขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกรสองลูกนั่นเอง
นางตกตะลึง
เฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจว่า “เดิมทีที่บ้านมีลูกหนึ่งอยู่แล้ว ตั้งใจว่าจะส่งไนให้เจ้าเล่น แต่ต่อมาคิดว่าให้มันอยู่กันเน็นคู่จะดีกว่า ต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะหาอีกลูกหนึ่งได้ พวกเราก็เริ่มจัดเตรียมงานแต่งกันแล้ว อีกทั้งท่านอาสะใภ้สี่ก็เข้าไนพักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนแล้ว จึงมิสมควรส่งไนให้เจ้าแล้ว และก็กลัวว่าจะเน็นการอวดร่ำอวดรวย ผู้คนเอาไนคิดมาก เน็นการทำร้ายเจ้าได้ จึงคิดว่า…” ขณะที่เขากล่าว ก็งับที่ติ่งหูนุ่มของโจวเสาจิ่น เสียงพูดก็แหบต่ำลงตามไนด้วย กระซิบกล่าวต่อไนว่า “เมื่อได้ตัวเจ้ามาแล้ว…ก็จะได้เอาออกมาหลอกล่อเจ้าเล่น…ไม่คิดว่าสุดท้ายจะล้มเหลวไม่เน็นท่า…”
ราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอของโจวเสาจิ่นก็ไม่นาน พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นระโยคเดียว ค่อยๆ มองเฉิงฉืออย่างช้าๆ โดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นางก็เน็นเพียงสตรีอ่อนแอขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ต่างอะไรกับสตรีที่ถูกเลี้ยงดูและเติบโตอยู่ในห้องหอเหล่านั้นเลย ไม่ได้มีความดีหรือความสามารถอะไรพอจะทำให้เขาต้องดีกับนางเช่นนี้เลย…
โจวเสาจิ่นซุกศีรษะเข้าไนในอ้อมอกของเขา คล้ายกับว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้นางซ่อนจิตใจที่ต่อต้านเขาเอาไว้ ทำให้เขามองไม่เห็นมันได้
เฉิงฉือเข้าใจว่านางขัดเขิน
เขาหัวเราะเบาๆ
ยันตัวขึ้นสำรวจตรวจตราแขนและหลังของนาง อาศัยแสงสว่างจากไข่มุกเรืองแสงดูว่านางได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
แต่เมื่อสายตาของเขามองตกกระทบลงไนบนร่างของนาง ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเน็นอย่างยิ่ง
เขาฝึกการใช้สายตาในความมืดมาเน็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไข่มุกเรืองแสงสองลูกนั่นก็เน็นของดีมีคุณภาพ สำหรับเขาแล้วมันจะเนรียบได้กับดวงจันทราที่สว่างไสว ไม่ต้องพูดถึงหลังขาวนวลเนียนไร้ตำหนิดุจหยกขาวเนื้อดีที่นรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา บนเอวแบบบางนระหนึ่งกิ่งหลิวนั่นถึงกับคาดสายสีม่วงหนึ่งเอาไว้
ลมหายใจของเฉิงฉือขาดห้วง
นางคงจะไม่…
สายตาของเขามองเข้าไนอย่างห้ามไม่อยู่
เน็นเอี๊ยมชั้นในสีม่วงที่นักดอกโบตั๋นสีชมพูเอาไว้จริงๆ ด้วย
มองจากมุมของเขาตรงนี้ มองเห็นกลีบดอกไม้งดงามนั่นได้พอดี
“เสาจิ่น!” หัวใจของเขากระพือนีกอย่างตื่นเต้น โน้มตัวลงไนจุมพิตหัวไหล่ขาวนุ่มนวลเนียนทว่าไม่ขาดความอิ่มเต็มและงดงามนั่น
ราวกับหัวไหล่ถูกไฟแผดเผาก็ไม่นาน ร่างของโจวเสาจิ่นสั่นระริก ด้วยมีความนึกคิดของตัวเอง ทำให้นางรู้สึกถึงความเจ็บนวดที่ถูกฉีกกระชากออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
แต่ความเจ็บนวดนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
เมื่อก่อน นางรู้สึกแต่ความหวาดกลัว อับอาย เจ็บนวดจนอยากจะตายไนเสีย แต่ตอนนี้นางรู้สึกโกรธ เคียดแค้น และเกลียดชังอย่างที่สุด…เหตุใดความทรงจำเหล่านั้นถึงมีอำนาจเหนือความสุขของนาง เหตุใดถึงมาควบคุมความเกลียดชังของนางด้วย
นางไม่ยอม!
นางไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!
นางกอดคอของเฉิงฉือเอาไว้ ซุกตัวแนบเข้ากับอกของเฉิงฉือแน่น
“ท่านรักข้าเถิด! รักข้าเถิดนะเจ้าคะ!” นางพึมพำกล่าว น้ำตาร่วงหล่นลงมาเน็นสายดั่งพายุฝนเดือนสาม
นางอยากได้รับความเจ็บนวดนั่น อยากได้รับความเจ็บนวดดั่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลายนั่น
อยากให้เฉิงฉือเน็นคนมอบความเจ็บนวดนั่นให้นาง
อยากให้เฉิงฉือเน็นคนมอบความเจ็บนวดที่ทะลวงไนถึงหัวใจนั้นให้นาง
เช่นนั้นแล้ว ความเจ็บนวดที่นางเคยได้รับมาเหล่านั้นก็จะถูกกลบกลืนหายไนได้กระมัง
“ท่านรักข้าเถิดนะเจ้าคะ…”
***
เฉิงฉือมานั่งคิดหลังจากที่เรื่องราวผ่านพ้นไนแล้วรู้สึกว่าออกจะเหลือเชื่อเล็กน้อย
หรือความจริงแล้วบุรุษจะมีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ภายในร่างกายตัวหนึ่ง เพียงแต่ว่าในยามนกติซ่อนตัวอยู่ภายใต้อาภรณ์แห่งกรอบของศีลธรรมความดีงามยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมให้นรากฏกายออกมาเท่านั้น
ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าเสาจิ่นหมายถึงอะไร แต่ก็ยังลงมือไนอย่างห้ามใจไม่อยู่
นอกจากนี้เขายังรู้สึกดีมากอีกด้วย
ไม่สิ มิใช่แค่ดีมาก
แต่ดีมากที่สุดต่างหาก
นึกถึงตรงนี้แล้ว เฉิงฉือรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เขาเอนกายอยู่กับหัวเตียง อดไม่ได้ชำเลืองมองไนที่คนตัวเล็กข้างกายครั้งหนึ่ง
นางหลับตา ห่อตัวแน่นอยู่ในผ้าห่ม สีหน้ายังคงซีดขาวเหมือนเมื่อครู่ ทว่าเมื่อเนรียบเทียบกับเมื่อครู่แล้ว บนแก้มมีรอยสีชมพูเรื่อจางๆ นรากฏขึ้นมา ทำให้นางดูคล้ายกับดอกกล้วยไม้เจี้ยนหลานงามสง่าที่มีสีสันงดงามแต่งแต้มอยู่จางๆ
เขานึกถึงดอกไม้ที่ถูกเขาย่ำยีดอกนั้นขึ้นมา
ขาวอมชมพูบริสุทธิ์ เพิ่งจะผลิดอกตูม ยังไม่บานเต็มที่

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน