คำตอบของเฉิงฉือทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มจนตาหยี กระทั่งตอนที่โจวเสาจิ่นเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานนางว่า “ท่านแม่” นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็อดทนต่อไปไม่ได้อีก กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้กล่าวชมนางอย่างโปรดปรานว่า “เด็กดี” แล้วบอกโจวเสาจิ่นเสียงอบอุ่นว่า “รีบไปหอบรรพชนกับเจ้าสี่เถิด เสร็จจากทำความรู้จักญาติพี่น้องแล้ว จะได้มาอยู่เป็นเพื่อนข้า”
โจวเสาจิ่นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
หลี่ว์มามาจะต้องเป็นคนทำหน้าที่ไปแอบฟังห้องหอของบ่าวสาวผู้นั้นแน่ๆ
ชาติก่อน ตอนที่นางและหลินซื่อเซิ่งแต่งงานกันนั้น อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าในใจของหลินซื่อเซิ่งยังมีคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นั้นอยู่ นายหญิงผู้เฒ่าหลินจึงทำหน้าที่ดักฟังห้องหอของบ่าวสาวด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนค่อยๆ ออกจากเรือนหลักของลานทิงเซียงช้าๆ
เฉิงฉือเรียกเกี้ยวมาให้จริงๆ พานางที่นั่งอยู่บนเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังหอบรรพชนไปด้วย กล่าวสนทนากับนางไปด้วยว่า “…ตอนที่เจ้าแวะมาเมื่อหลายวันก่อนนั้นลานทิงเซียงยังสร้างไม่เสร็จดี ตั้งใจไว้ว่าจะเอาไว้ให้เจ้าใช้รับรองสหายสนิทในยามปกติ พอท่านแม่ย้ายเข้าไปอยู่ข้าจึงเพิ่มระเบียงบริเวณด้านหน้าของเรือนหลัก ทำเป็นโถงรับรองสักห้องหนึ่ง รอให้แขกเหรื่อในบ้านกลับไปและท่านแม่ย้ายกลับไปอยู่ที่เรือนเฮ่อโซ่วถังแล้ว นอกจากจะใช้ที่นั่นเป็นที่รับรองแขกสตรีแล้ว เจ้ายังใช้ที่นั่นเป็นที่อบรมให้คำชี้แนะบรรดาภรรยาของพ่อบ้านได้อีกด้วย…หอบรรพชนนั้นเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ พวกเราเป็นสามีภรรยาคู่แรกที่ได้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่นั่น…”
รอให้ต่อไปเมื่อพวกเขาแก่ชราและจากไปแล้ว ป้ายวิญญาณก็จะถูกบรรดาบุตรหลานนำไปตั้งในหอบรรพชนและได้รับการกราบไหว้จุดธูปเทียนจากคนรุ่นหลังสืบต่อไปเช่นกัน
พวกเขาจะครองคู่กันอย่างกลมเกลียวในบ้านหลังนี้ และมีบุตรหลานมากมายในบ้านหลังนี้เช่นกัน จะมีกันและกันไปจนแก่เฒ่า…
คิดเช่นนี้แล้ว เฉิงฉือพลันรู้สึกว่าทัศนียภาพตรงหน้านี้ดูงดงามขึ้นมาในทันใด
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
นางนั่งอยู่บนเกี้ยว ทว่าเฉิงฉือกลับประคองเกี้ยวเดินอยู่ข้างๆ นาง นางเงยหน้าขึ้นเป็นภาพวิวทิวทัศน์อันงดงามของขุนเขาและทะเลสาบของเรือนชั้นใน ทว่าเมื่อก้มหน้าลงกลับเห็นเพียงเส้นผมดำเงางามและปิ่นหยกขาวลายดอกบัวที่เสียบมวยผมของเขาเอาไว้เท่านั้น
ราวกับนั่งอยู่บนหัวไหล่ของเฉิงฉือก็ไม่ปาน
นางยิ่งกลัวว่าจะถูกผู้อื่นพบเห็นเข้า
เนื่องด้วยงานแต่งของพวกเขา ญาติสนิทมิตรสหายเก่าแก่ของตระกูลเฉิงที่มาร่วมงานได้ล้วนมากันเกือบหมด คนที่มาไม่ได้ก็พยายามหาทางมาให้ได้ เนื่องจากส่วนมากล้วนมิได้อาศัยอยู่ที่จิงเฉิง ทั้งหมดจึงพักอยู่ที่เรือนตะวันออก พวกเขาจะไปหอบรรพชน จึงต้องเดินผ่านเรือนตะวันออก
นี่หากว่าถูกผู้คนพบเห็นเข้า นางคงหนีไม่พ้นข้อครหาว่าเป็นคนเอาแต่ใจและนิสัยแย่ผู้หนึ่งเป็นแน่ และหากพูดให้ลึกลงไปอีก อาจถึงขั้นถูกพูดต่อไปว่าเป็นคนหยิ่งทะนงชอบบงการ ไม่เคารพผู้อาวุโส เช่นนั้นชีวิตนี้นางอย่าได้คิดจะมีที่ให้ยืนได้แล้ว
ต่อให้นี่จะเป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจัดเตรียมเอาไว้ให้ แต่นางก็คงไม่อาจอธิบายให้ทุกคนฟังทุกครั้งที่พบหน้าหรอกกระมัง
ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจจะคิดว่านี่นางกำลังถือขนไก่แสดงอำนาจนึกว่าเป็นลูกธนู ยิ่งปกปิดก็ยิ่งทำให้เรื่องแจ่มชัดมากขึ้น
นางโน้มตัวไปสะกิดไหล่ของเฉิงฉือเบาๆ กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “นายท่านสี่ ข้า…ข้าลงไปเดินเองดีกว่า! ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือรู้ว่านางขี้กลัวและระมัดระวัง รู้ว่านางไม่คุ้นชิน แล้วเขาจะทนทำให้นางลำบากใจได้อย่างไร
แต่จะให้นางเดินไปที่หอบรรพชนด้วยสภาพเช่นนี้ เขาก็กลัวว่านางจะไม่ไหวจริงๆ
หากจะกล่าวโทษ ก็ต้องกล่าวโทษที่เขาไม่รู้จักพอ
แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะหนักหนาถึงเพียงนี้
มาเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้ว
เฉิงฉือกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “รอให้ถึงหน้าประตูหอบรรพชนก่อนพวกเราจะเดินเข้าไปกัน”
นี่ถือเป็นการให้เกียรติและเคารพบรรพบุรุษด้วย
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึก
กระทั่งถึงหน้าธรณีประตูสีดำของหอบรรพชนแล้ว เฉิงฉือประคองโจวเสาจิ่นลงจากเกี้ยว ทั้งๆ ที่รู้ว่านางต้องเดินเข้าไปด้วยตัวเอง แต่ก็ยังคงถามขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เจ้าไหวหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเขินอายยิ่งนัก ไหนเลยจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้กับเขา พยักหน้าให้ส่งๆ ด้วยความอับอาย
เฉิงฉือยิ้มพลางเดินเข้าไปในหอบรรพชนพร้อมกับนาง
คนที่ช่วยเตรียมเครื่องเซ่นไหว้บูชาอยู่ภายในหอบรรพชนคือพ่อบ้านใหญ่ฉิน
เขามองเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นด้วยความปลาบปลื้มใจ แบ่งธูปและเทียนยื่นส่งให้พวกเขา นำพวกเขาไปโขกศีรษะต่อหน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษ
ภายในหอบรรพชนยังอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำมันเคลือบมะเยาหิน ป้ายวิญญาณก็เพิ่งทำมาใหม่ ขาดรายละเอียดของตระกูลเก่ากว่าร้อยปีและความขึงขังของพิธีการที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเดือนปีนั้นไป
พ่อบ้านใหญ่ฉินทอดถอนใจแล้วก็อดไม่ได้กล่าวกับเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้นว่า “เริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว เจ้าต้องพยายามขยายกิ่งก้านใบออกไปอย่างขยันขันแข็ง ช่วยกันเอาใจใส่ดูแลและขยับขยายตระกูลเฉิงกับพวกพี่ๆ ถึงจะถูก”
เฉิงฉือขานรับคำว่า “ขอรับ” เสียงหนึ่งอย่างนอบน้อม
โจวเสาจิ่นรู้ว่าเขามิใช่บ่าวรับใช้ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลเฉิงและเป็นศิษย์พี่ของเฉิงฉือด้วย หากไม่มีตระกูลฉิน บางทีอาจจะไร้ซึ่งตระกูลเฉิงในวันนี้แล้วก็เป็นได้
นางรีบยอบกายทำความเคารพตามไปด้วยอย่างนอบน้อม
นัยน์ตาของพ่อบ้านใหญ่ฉินเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมาให้เห็น
ระหว่างเดินทางกลับโจวเสาจิ่นยืนกรานจะเดินด้วยตัวเอง
เฉิงฉือเองก็มิได้บีบบังคับนาง
โชคดีที่ห้องโถงหลักอยู่ไม่ไกลจากหอบรรพชน ตอนที่โจวเสาจิ่นให้กำลังใจตัวเองว่าอย่าหยุดเดินเป็นครั้งที่สามนั้น ก็ถึงห้องโถงหลักพอดี
พื้นหินสีดำ กำแพงสีขาวขุ่น สันหลังคาสีเทา แผ่นป้ายสีดำเงาเขียนตัวอักษรสีทองสามตัวว่า ‘ผานจงถัง’ โถงแห่งตระกูลที่แข็งแกร่งเอาไว้
อักษรสามตัวนี้เฉิงจิงเป็นคนเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง
เป็นตัวอักษรตามแบบฉบับของราชสำนัก
แต่อักษรตัวใหญ่ ดูอิ่มเต็มสมบูรณ์ งดงามอ่อนโยน ดูยิ่งใหญ่มีพลัง
นี่คือชื่อเรียกบ้านของจวนหลักในปัจจุบัน
เอามาจาก ‘พงศาวดารจักรพรรดิเหวินผู้ทรงธรรม’ มีความหมายว่าบุตรหลานรุ่งโรจน์เจริญรุ่งเรือง วงศ์ตระกูลแข็งแกร่งดุจหินผา
โจวเสาจิ่นนึกถึงคำกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าของพ่อบ้านใหญ่ฉินเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ลอบรู้สึกดีใจอยู่ในใจอย่างห้ามไม่อยู่ โชคดีที่ร่วมหอกับนายท่านสี่แล้ว ไม่อย่างนั้นบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายที่ตั้งความหวังเอาไว้กับเฉิงฉืออย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหล่านี้จะผิดหวังมากเพียงใด!
“มาแล้วเจ้าค่ะมาแล้ว เจ้าบ่าวและเจ้าสาวมากันแล้วเจ้าค่ะ!” มีบ่าวรับใช้ร้องตะโกนอย่างดีใจ ในน้ำเสียงเผยความยินดีออกมาหลายส่วน


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน