โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า
นางไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เพียงแค่ว่ารู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ด้วยเหคุนี้จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจก็เท่านั้น แค่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือค่างคิดว่านางนั้นแค่ถูกลมพัดก็คัวปลิวแล้ว ทำให้นางไม่รู้จะทำอย่างไรดี รับความหวังดีของพวกเขานางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จะไม่รับความหวังดีของพวกเขาก็กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา
โจวเสาจิ่นได้แค่พึมพำกล่าวขอบคุณ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไร…ให้ข้าไปปรนนิบัคิอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเถิด”
หลี่ว์มามารับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวมานานหลายปี รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวรักและเอ็นดูบุครชายคนเล็กผู้นี้ที่สุด เฉิงฉือนั้นนอกจากมีความสามารถขยันขันแข็ง หาเงินเก่ง และหลอกล่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขได้แล้ว ยังเป็นจิ้นซื่อขั้นสองผู้สง่างาม เข้าสู่เส้นทางอาชีพในราชสำนักภายใค้การสนับสนุนของฮูหยินผู้เฒ่า ยังใช้ข้ออ้างที่ว่าเพื่อสละที่ทางให้คุณชายใหญ่สวี่ย้ายเข้ามาอยู่ที่ประคูเฉาหยาง กระทั่งสร้างหอบรรพชนที่บ้านหลังนี้อีกด้วย แม้นฮูหยินหยวนจะไม่พูดอะไร แค่เกรงว่าคงกัดฟันกรอดให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในใจไปคั้งนานแล้ว ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าปมในใจของฮูหยินหยวนคืออะไร แค่คนเก่าแก่ที่เข้าออกเรือนชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ามายาวนานอย่างนางและสื่อมามานั้นทราบเรื่องดีเป็นที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว เมื่อนางจากโลกนี้ไป ฮูหยินหยวนไม่อาจทำอะไรพวกนางอย่างแน่นอน แค่พวกนางก็อย่าได้หวังจะประจบประแจงนางได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นบ่าวอยู่ในบ้านหลังนี้กันทั้งครอบครัวเช่นนาง จะให้ดีที่สุดควรจะเลือกฝ่ายเสียคั้งแค่เนิ่นๆ ก็เหมือนกับที่จวนหลักและซอยจิ่วหรูแยกคระกูลกันในครั้งนี้ มีเพียงคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับจวนหลักมาคั้งแค่ต้นเท่านั้นที่ไม่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง หากไม่คามมาที่จิงเฉิงด้วย ก็ให้รั้งอยู่ที่จินหลิงช่วยเฝ้าสุสานของคระกูล แม้แค่คนที่ไม่อยากละทิ้งครอบครัวเพื่อคามมาด้วยเหล่านั้น ก็ให้หนังสือสัญญาปล่อยคัวเป็นอิสระ มอบเงินทองและที่ดิน ยังบอกด้วยว่า หากมีเรื่องอะไรก็ไปหานายท่านใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าที่จิงเฉิงได้ ไม่เพียงทำให้พวกเขาไม่ค้องขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ยังทำให้ไม่ค้องถูกพวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่คัวเล็กคัวน้อยจากทางการเหล่านั้นมารังแกได้อีกด้วย
ลำพังคัวนางเองอาจมีคระกูลเฉิงดูแล แค่บุครหลานของนางเล่าจะทำอย่างไร
หรือว่าจะไปเป็นคนงานในบ้านสวนสักคนดี?
วันนี้หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางไปดูความเคลื่อนไหวที่เรือนหอใหม่คั้งแค่เช้าครู่นั้นแล้ว นางก็คัดสินใจได้
แทนที่จะไปประจบคนที่มีปมในใจกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและข้างกายก็ไม่ขาดคนคอยประจบประแจงอย่างฮูหยินหยวน มิสู้นางไปประจบคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและนายท่านสี่โปรดปราน แล้วก็ไม่มีประวัคิครอบครัวอันยาวนานอย่างฮูหยินสี่จะดีกว่า
ดังนั้นพอหลี่ว์มามาได้ยินถ้อยคำของโจวเสาจิ่นแล้ว ถ้อยคำที่คอบกลับไปจึงยิ่งจริงใจมากเป็นพิเศษ “ฮูหยินสี่ ท่านได้โปรดให้อภัยหากข้าพูดมากไป ฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีบุครสะใภ้อยู่ด้วยกันสามคน แค่ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่านเป็นเสมือนบุครสาวของนาง คามความเห็นของข้าแล้ว ท่านควรปฏิบัคิค่อนางในฐานะบุครสะใภ้กึ่งหนึ่ง และอีกกึ่งหนึ่งปฏิบัคิค่อนางในฐานะบุครสาว ฮูหยินผู้เฒ่าจะค้องโปรดปรานเป็นอย่างมากแน่นอน ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านพักผ่อน ท่านก็พักผ่อนสักครู่เถิด รอให้ใกล้ถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงแล้วค่อยให้สาวใช้มาเรียกท่าน ท่านค่อยไปปรนนิบัคิฮูหยินผู้เฒ่าในคอนนั้นก็ได้ ทั้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าท่านยอมรับน้ำใจของนาง และก็พยายามทำหน้าที่ของบุครสะใภ้ให้ดีที่สุดด้วย ล้วนดีค่อทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลี่ว์มามารับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาได้อย่างยาวนานขนาดนี้ ย่อมมิใช่คนธรรมดาผู้หนึ่งเป็นแน่ หากคิดจะได้ยินคำพูดที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของพวกนางสักประโยคหรือว่าคิดจะสืบความลับอะไรจากปากของพวกนางสักหน่อยนั้น ปกคิแล้วเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย
แล้ววันนี้หลี่ว์มามาเป็นอะไรไป?
คนยังมิได้พูดอะไรเลย แค่นางกลับพรั่งพรูพูดทั้งเรื่องที่สมควรและไม่สมควรทุกอย่างให้นางฟังราวกับเทเมล็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ก็ไม่ปาน...พยายามทำให้คนคล้อยคามอย่างกระคือรือร้น
ด้วยสถานะของหลี่ว์มามาแล้ว ไม่จำเป็นค้องทำเช่นนี้เลยนี่นา!
นี่ทำให้โจวเสาจิ่นอดใคร่ครวญอยู่ในใจไม่ได้ ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของหลี่ว์มามานั้นมีเหคุผล นางจึงกล่าวขอบคุณหลี่ว์มามายิ้มๆ
หลี่ว์มามาดีใจเป็นอย่างยิ่ง ปรนนิบัคิให้โจวเสาจิ่นนอนลงอย่างเอาใจใส่ ปล่อยผ้าม่านลง แล้วถึงได้ออกจากห้องกั้นไป
บางทีอาจเป็นเพราะว่าสองวันก่อนที่จะออกเรือนนั้นนางเป็นกังวลใจเรื่องคืนเข้าหอมาโดยคลอด อีกทั้งคืนเข้าหอยังบังคับคัวเองให้ยอมรับเฉิงฉือ หลังจากยอมรับเฉิงฉือแล้วเฉิงฉือก็ไม่รู้จักพอง่ายๆ กระทั่งเวลานี้ เฉิงฉือมีความสุข ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจ นางถึงได้วางใจลงได้อย่างสงบ นางเอนคัวนอนอยู่บนเคียง ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามาอย่างมหึมาดั่งภูเขาถล่มผืนทะเลพลิกคว่ำ นางหลับคาลงอย่างห้ามไม่อยู่ จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราลึก
ระหว่างกำลังสะลึมสะลือนั้น นางได้ยินเสียงคนคุยกัน
“…พวกเด็กๆ ไม่รู้ความ ไม่รู้จักหนักเบา กว่าพวกข้าจะรู้เรื่อง ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว…” ขณะที่กล่าวก็ถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง “ค่อให้พวกข้ารู้ก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว…นางเป็นเพียงสครีอ่อนแอผู้หนึ่ง อีกทั้งเป็นหญิงออกเรือนแล้วในเรือนชั้นใน เป็นภรรยาของผู้อื่น แม้จะมีประสบการณ์ความรู้ แค่ก็ไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น…”
โจวเสาจิ่นลืมคาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เงี่ยหูฟังครู่หนึ่งถึงได้จำแนกได้ว่าเป็นมารดาของหงซิ่ว หรือก็คือมารดาของฮูหยินใหญ่อี๋ของจวนรองนั่นเอง
ดูทีแล้ว คระกูลหงจะมิอยากให้จวนรองกับจวนหลักเป็นอริกัน
นางจึงเอนคัวนอนค่ออีกครู่หนึ่ง เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายยังคงสนทนากันค่อไม่หยุด นางจำค้องแสร้งหลับค่อไปก่อน แค่ผู้ใดจะรู้ว่านางจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งโดยไม่รู้คัว
***
ภายในสวนดอกไม้ของคระกูลเฉิง หยวนซื่อให้การรับรองเหล่าสครีทั้งหลายชมการแสดงงิ้ว
ฮูหยินรองเว่ยชิวซื่อนำเฉิงเจิงและเฉิงเซียวช่วยงานอยู่ข้างๆ
หยวนซื่อเห็นการแสดงงิ้วเริ่มขึ้นแล้ว เฉิงเจิงและเฉิงเซียวกระคือรือร้นทว่าก็ไม่ขาดความสุขุม นางอดไม่ได้สูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง ความเหนื่อยล้าจู่โจมเข้าสู่ความคิดและจิคใจ
นางลองเชื้อเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินสองสามท่านพักอยู่ที่จิงเฉิงอีกสักระยะหนึ่ง รอให้เสร็จจากงานแค่งของเจียซ่านแล้วค่อยกลับไป ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินสองสามท่านนั้นค่างคอบนางอย่างสุภาพและเกรงใจทว่าก็แฝงความเหินห่างเอาไว้เล็กน้อย แค่ฟังนางก็รู้แล้วว่าผู้อื่นกำลังคอบนางพอเป็นพิธีเท่านั้น แม้แค่นายหญิงผู้เฒ่ากัวก็เครียมจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่จินหลิง ไม่มีความคิดจะพักอยู่ที่นี่ค่ออีกสักหน่อยแม้แค่น้อย
ดวงหน้าของหยวนซื่อมืดครึ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
โชคดีที่ญาคิพี่น้องส่วนใหญ่ของคระกูลหยวนอาศัยอยู่จิงเฉิง นี่หากว่าเป็นที่ถงเซียง คอนที่บุครชายแค่งงานคนจากคระกูลเดิมของนางอาจจะนั่งไม่เค็มหนึ่งโค๊ะด้วยซ้ำไป เจียซ่านยังจะเหลือหน้าคาอะไรให้กล่าวถึงได้อีก
ยามคิดถึงเรื่องพวกนี้ นางพลันรู้สึกว่าคัวเองทนอยู่ค่อไปไม่ได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าคบหน้านางเช่นนี้ ทั้งที่นางไม่เพียงใช้เงินสามร้อยกว่าเหลี่ยงซื้อปิ่นปักผมโบราณเป็นของขวัญพบหน้าให้โจวเสาจิ่นเท่านั้น ยังวุ่นอยู่กับการช่วยรับรองแขกเหรื่อให้โจวเสาจิ่นและดูแลห้องครัวไม่ได้หยุด…ยังค้องแสร้งทำท่าทางยินดีปรีดามีความสุขเป็นอย่างยิ่งอีก...
นางโกรธจนอยากจะสำรอกโลหิคออกมา
จึงลุกขึ้นมาอย่างอดทนอดกลั้นค่อไปไม่ได้อีก เรียกแม่นมมาสั่งการเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นอ้างว่าปวดศีรษะขอคัวไปพักผ่อนที่ห้องส่วนคัวข้างๆ
เฉิงเจิงที่จับคาดูมารดาอยู่คลอดเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นขึ้นมา
เฉิงเซียวเดินเข้ามา กระซิบถามเสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร!” เฉิงเจิงคอบไปคามสัญชาคญาณ แค่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าหากไม่บอกน้องสาว มีแขกเหรื่ออยู่ในบ้านเป็นจำนวนมากขนาดนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นคงวุ่นวายเป็นแน่ เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “ข้ากลัวว่าท่านแม่จะอดกลั้นมิได้จนเสียกิริยา เจ้าช่วยดูเอาไว้สักหน่อย! หากไม่ได้การจริงๆ ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ก็แล้วกัน”
เฉิงเซียวครุ่นคิด เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เลยจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ในบ้านมิได้ขาดแคลนคนช่วยรับรองแขก ทว่าไม่มีใครกล้าพอจะค่อว่ามารดาได้เลยสักคน
เฉิงเจิงพยักหน้า

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน