ในบรรดาสตรีที่มาร่วมงานทำความรู้จักญาติพี่น้องนั้น คนที่ไม่ไปดูดอกไม้ไฟยังมีฮูหยินของหยวนเหวยชางด้วยอีกผู้หนึ่ง
นางกำลังนั่งคุยกับหยวนซื่ออยู่ในห้องส่วนตัว “เป็นเพราะเวลากระชั้นชิดเกินไปใช่หรือไม่ เหตุใดถึงรู้สึกว่าในบ้านยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้ หลุมศพของพ่อสามีเจ้ายังอยู่ที่จินหลิง ครอบครัวของพวกเจ้าที่จิงเฉิงแบ่งเป็นสองที่ หอบรรพชนกลับตั้งอยู่ที่ประตูเฉาหยางทางด้านนี้ นายท่านใหญ่ของพวกเจ้าเป็นบุตรชายคนโต ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับอาศัยอยู่กับบุตรชายคนเล็ก…กูไหน่ไน ท่านอย่าได้มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กไม่สำคัญเชียว นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ฟ้องร้องทางการได้ทั้งสิ้น!”
“ผู้ใดว่ามิใช่กัน!” ดวงหน้าของหยวนซื่อเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ยิ้มขื่นพลางกล่าว “มิใช่ว่าข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้หรอกหรือ ก่อนหน้านี้หารือกับนายท่านของพวกข้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะจัดเตรียมสุสานของตระกูลให้แล้วเสร็จก่อนปีใหม่ รอให้ผ่านพ้นปีใหม่แล้วจะเลือกวันมงคลเคลื่อนย้ายหลุมศพของบรรพบุรุษมาที่นี่ เนื่องจากบ้านที่ประตูเฉาหยางนี้เป็นฮูหยินผู้เฒ่าใช้เงินส่วนตัวซื้อให้น้องสี่ พวกข้าเองก็จะไม่ริษยา มอบให้เขาเลยก็แล้วกัน จะปรับปรุงห้องหนังสือเก่าของพ่อสามีขึ้นมาใหม่สำหรับตั้งป้ายวิญญาณของพ่อสามี และจัดห้องฝั่งตะวันตกของเรือนหลักให้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าพัก…
…แต่พอฮูหยินผู้เฒ่ามาถึง ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงวุ่นวายไปหมด ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องหอบรรพชนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยประโยคเดียวก็สร้างหอบรรพชนที่ประตูเฉาหยางแล้ว ต่อมาก็บอกว่าตัวเองเป็นหญิงหม้าย กลัวว่าจะเป็นอัปมงคล ต้องการสละที่ทางให้เจียซ่าน ภรรยาของน้องรองต้องไปถามไถ่สารทุกข์ของฮูหยินผู้เฒ่าเช้าเย็นทุกวันใช่หรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นใจบุตรสะใภ้และหลานชายของตัวเอง ภรรยาของน้องรองก็เลยย้ายไปอยู่ที่ประตูเฉาหยาง ยามน้องรองกลับมาถึงบ้านไม่มีใครอยู่ดูแลสักคน มิให้เขาไปประตูเฉาหยางแล้วจะไปที่ใด เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้จึงเหลือพวกข้าเพียงครอบครัวเดียวที่อาศัยอยู่ที่ซอยซิ่งหลิน จากนั้นก็กำหนดวันแต่งงานของน้องสี่ก่อนหน้าวันแต่งของเจียซ่านอีก จัดพิธีแต่งที่ประตูเฉาหยาง ราวกับกลัวว่าคนในหกกรมสามสำนักจะไม่รู้ว่านางอาศัยอยู่กับบุตรชายคนเล็กอย่างไรอย่างนั้น…
…ข้าคิดๆ แล้วก็ชื่นชมตัวเองยิ่งนักที่หนังหน้าช่างหนา…
…ยังไม่อับอายจนตายไปก่อน!…
…ท่านลองดูงานแต่งของน้องสี่อีกครั้ง ดียิ่งกว่าดี ครึกครื้นยิ่งกว่าครึกครื้น อึกทึกคึกโครมยิ่งกว่างานแต่งขององค์ชายเสียอีก...
…ท่านจะให้ข้าพูดอะไรได้อีกเจ้าคะ”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร คงไม่อาจปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือนต่อไปเช่นนี้กระมัง!”
“ข้าจะทำอะไรได้” หยวนซื่อกล่าวด้วยใจที่เต็มไปด้วยความระทมทุกข์ “ข้าก็เป็นเพียงบุตรสะใภ้คนหนึ่ง หากนายท่านใหญ่ของพวกข้าไม่ว่าอะไร ข้าจะพูดอะไรได้”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางอดกล่าวไม่ได้ว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
หยวนซื่อกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “น้องสี่ของพวกข้ากล่าวว่า ฮูหยินผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตมาตลอดชีวิต เลี้ยงบุตรชายที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจิ้นซื่อได้ถึงสามคน ไม่มีเหตุผลที่เมื่อแก่ชราลงแล้ว ยังต้องเบียดเสียดกันอยู่ในบ้านสามวงห้าทางเข้ากันทั้งครอบครัว ที่ต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะมองเห็นท้องฟ้าได้เช่นนั้น ความหมายโดยนัยก็คือ ต่อไปฮูหยินผู้เฒ่าจะอยู่ที่ประตูเฉาหยางกับพวกเขา ด้วยความที่นายท่านใหญ่ของพวกข้าเป็นคนยอมคน จึงไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางเบิกดวงตาโต ถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าก็ปล่อยไปเช่นนั้นน่ะหรือ”
หยวนซื่อกล่าว “เขาแสดงเจตจำนงชัดแจ้งแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ข้ายังจะโต้แย้งกับเขาได้หรือ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าคิดถี่ถ้วนแล้ว บุตรชายคนโตเป็นคนรับสืบทอดมรดกของตระกูล ไม่มีบ้านไหนที่แยกตระกูลกันขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไม่มีบ้านไหนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไปอยู่กับบุตรชายคนเล็กมาก่อน หากฮูหยินผู้เฒ่ายืนกรานจะอยู่ที่ประตูเฉาหยาง เช่นนั้นพวกข้าก็จะย้ายเข้าไปอยู่ด้วย อย่างมากรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าจากไปแล้วพวกข้าค่อยย้ายกลับมาอยู่ที่ซอยซิ่งหลินก็ยังไม่สาย น้องรองสองสามีภรรยาเข้าไปอยู่แสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ พวกข้าก็ทำได้เช่นกัน!”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางได้ยินแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “เรื่องนี้เจ้าเองก็อย่าใจร้อนกระทำการวู่วาม ต้องพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าให้กระจ่างถึงจะถูก ผู้อื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าพวกเจ้าแม่สามีและบุตรสะใภ้ทั้งสองคนต้องการแย่งชิงทรัพย์สมบัติกัน หากแพร่ออกไปคงไม่ดีเป็นแน่แล้ว!”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ” หยวนซื่อกล่าว “นอกจากท่าน ข้าก็มิได้บอกผู้ใดทั้งนั้น!”
ฮูหยินของหยวนเหวยชางพยักหน้า
หยวนซื่อกล่าว “ท่านก็อย่าได้เป็นกังวลใจแทนข้า ข้าไม่สนว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะทำอะไร รอให้เสร็จจากเรื่องยุ่งๆ สองสามวันนี้แล้วจะให้นายท่านใหญ่ของพวกข้าไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องซื้อที่ดินสำหรับสร้างเป็นสุสานของตระกูลและเรื่องย้ายหลุมศพมาที่นี่ รอให้ถึงตอนที่เจียซ่านแต่งงาน อย่างไรก็ต้องรับตัวฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปให้ได้”
“เช่นนั้นก็ดี!” ฮูหยินของหยวนเหวยชางกล่าว “หากมีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยออกหน้า เจ้าเพียงบอกข้าสักคำก็พอ”
หยวนซื่อรีบกล่าวขอบคุณฮูหยินของหยวนเหวยชาง
***
ด้านลานทิงเซียง ฮูหยินใหญ่กัวก็กำลังคุยเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่เช่นกัน “…แม้นจะพูดว่าเป็นบ้านที่ท่านใช้เงินส่วนตัวสร้างให้ซื่อหลาง แต่สุดท้ายแล้วต้าหลางต่างหากที่เป็นบุตรชายคนโต หากท่านคิดจะให้ซื่อหลางแยกออกมาอยู่ลำพังก็มิใช่ว่าทำไม่ได้ แต่การที่ท่านมาอาศัยอยู่ที่ประตูเฉาหยางเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ต้าหลางอับอายได้ ตอนที่เจียซ่านแต่งงาน ท่านย้ายกลับไปดีกว่าเจ้าค่ะ เวลาญาติพี่น้องกล่าวถึงขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเพราะท่านดีใจที่ซื่อหลางแต่งงานมาก ดังนั้นก็เลยมาอยู่ทางนี้สักระยะหนึ่งเท่านั้น เช่นนี้ล้วนช่วยรักษาหน้าของทุกคนเอาไว้ได้ และเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายด้วยมิใช่หรือ?…
…ท่านก็อย่าหาว่าข้าว่าท่านเลย ท่านก็ช่างจิตใจเอนเอียงเกินไปแล้ว สร้างบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้ให้ซื่อหลาง แค่มองก็ทำให้ผู้คนริษยาแล้ว น้ำในถ้วยของท่านไม่ราบเรียบเช่นนี้ เกรงว่าภรรยาของต้าหลางคงไม่สบายใจมากเป็นแน่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เห็นด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “นางไม่สบายใจ ข้ายิ่งไม่สบายใจมากกว่า! ข้าถามเจ้า หากข้าไม่โหวกเหวกว่าจะย้ายออกมาเช่นนี้ พวกเจ้าจะรู้หรือว่าบ้านที่ประตูเฉาหยางนี้เป็นของขวัญแต่งงานที่ข้ามอบให้เจ้าสี่”
ฮูหยินใหญ่กัวตกตะลึง ถามขึ้นว่า “ความหมายของท่านคือ?”
“ตอนที่ลุงเขยของเจ้าจากไปนั้นในบ้านมีทรัพย์สินเท่าไรกัน ตอนแยกตระกูลนั้นพวกข้าต้องใช้เงินไปเท่าไรบ้าง คิดว่าเป็นชิ้นเนื้อที่ตกลงมาจากบนฟ้าหรืออย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “นี่ล้วนเป็นทรัพย์สินที่เจ้าสี่หามาได้ทั้งสิ้น หยวนซื่อโวยวายต้องการแยกตระกูล เจ้าสี่เอาทรัพย์สินของครอบครัวมอบให้นางทั้งหมด หากข้าไม่ชดเชยให้เขาสักหน่อย จิตใจของข้าจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร แต่ข้าก็ไม่อยากให้จวนหลักที่เพิ่งแยกตระกูลกับซอยจิ่วหรูมาไม่นาน พอข้าจากไป ก็มีเรื่องอื้อฉาวว่าพวกเขาพี่น้องทะเลาะกันเรื่องแย่งทรัพย์สมบัติกันอีก เช่นนั้นสิ่งที่พวกข้าทำไปทั้งหมดในตอนนี้ก็ถือว่าสูญเปล่าทุกอย่างแล้ว!”
“ท่านคิดจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้พวกเขาพี่น้องให้ชัดเจนเสียตั้งแต่ตอนนี้หรือเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่กัวถาม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า พลางกล่าว “ข้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้พวกเขาแยกบ้านกันอยู่ตั้งแต่ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่”
ฮูหยินใหญ่กัวใคร่ครวญครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง แบ่งทรัพย์สินกันให้ชัดเจน ก็มิใช่เรื่องไม่ดีเสมอไปเจ้าค่ะ”
“ฉะนั้นบ้านหลังนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้าสี่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ถือโอกาสตอนที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้านี้พูดให้ชัดเจนเสีย”
ฮูหยินใหญ่กัวอดส่ายศีรษะยิ้มๆ ไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “หากท่านเป็นแม่สามีของข้า ข้าต้องโมโหจนตายไปแล้วเป็นแน่!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวแย้งขึ้นว่า “เหตุใดไม่เห็นชิวซื่อต้องโมโหจนจะเป็นจะตายเลยเล่า”
ฮูหยินใหญ่กัวไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
***
ฮูหยินใหญ่กู้และชิวซื่อยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาในสวนดอกไม้ “แม่สามีของเจ้าช่างมีความสามารถจริงๆ ดูอย่างบ้านหลังนี้สิ” จากนั้นกดเสียงลงต่ำกล่าวว่า “แม่สามีของเจ้ามีแผนการอะไรให้พวกเจ้าบ้างหรือไม่”
นางและชิวซื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ชิวซื่อกล่าว “เจ้าเองก็รู้ดีว่านายท่านของพวกข้าผู้นั้น ที่ผ่านมาไม่เคยแก่งแย่งเรื่องนี้เลย ข้าเองก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่ง เงินเป็นของแม่สามี นางชื่นชอบผู้ใดก็ให้มากหน่อย ไม่โปรดปรานคนไหนก็ให้น้อยหน่อย ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเรื่องของนาง พวกเราที่เป็นบุตรชายหญิงเหล่านี้ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
เฉิงเจียวิ่งออกมา ยิ้มพร้อมกับหันไปเรียกเฉิงฉือเสียงหนึ่งว่า “ท่านอาฉือ” กล่าวขึ้นว่า “ท่านมารับเสาจิ่นหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือหันไปพยักหน้าให้เฉิงเจียยิ้มๆ
เฉิงเจียจึงหันไปขยิบตาให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านกับท่านอาสะใภ้สี่ค่อยๆ คุยกันเถิด ข้าขอตัวไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าในรอยยิ้มของเฉิงเจียนั้นเต็มไปด้วยความขบขันยั่วเย้า นางอับอายจนดวงหน้าแดงก่ำไปหมด
เฉิงฉือถามยิ้มๆ ว่า “นางกลั่นแกล้งเจ้าอีกแล้วหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบปฏิเสธกลับไปโดยสัญชาตญาณ “ตอนนี้ข้าเป็นอาสะใภ้ของนางแล้ว หากนางยังกล้ากลั่นแกล้งข้าอีก คอยดูว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร!”
เฉิงฉือประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังลั่น โอบโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปคารวะท่านแม่กัน จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องกันเถิด! วันนี้เจ้ายุ่งมาทั้งวัน คงเหนื่อยแย่แล้ว!”
“ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่นางได้นอนพักอยู่ในห้องกั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาตลอดทั้งบ่ายให้เฉิงฉือฟัง ถามขึ้นว่า “พวกเรากลับไปเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
“มีอะไรที่ไม่ดีกัน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ทุกคนต่างยุ่งเรื่องของตัวเอง จะมีใครมาสังเกตเห็นว่าไม่พบตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีของจะมอบให้เจ้าด้วย!”
“มีของจะมอบให้ข้าหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงฉือจึงดึงนางไปที่สวนดอกไม้ข้างทะเลสาบ
ข้างทะเลสาบไม่มีผู้ใดอยู่เลยสักคน ต้นไม้หนาทึบซ่อนตัวอยู่ในร่มเงา ลมเย็นพัดโชยมา ทั้งเย็นและเงียบเหงาวังเวง
โจวเสาจิ่นจับมือของเฉิงฉือเอาไว้แน่น
เฉิงฉือพานางไปนั่งลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กล่าวกับนางยิ้มๆ ว่า “เจ้าลองมองไปที่ใต้ฝ่าเท้า!”
แสงจันทร์นวลเย็นส่องสว่างอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ บนก้อนหินมีน้ำแข็งจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งค้างหกแฉกแผ่นแล้วแผ่นเล่า เปล่งประกายแวววาว คล้ายกับเบ่งบานขึ้นมาจากฝ่าเท้าของนางก็ไม่ปาน
“นะ…นี่คือ…” โจวเสาจิ่นพูดตะกุกตะกักพร้อมกับมองไปที่เฉิงฉือ
……………………………………………………………………….

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน