คําตอบของโจวเสาจิ่นนั้นเป็นไปตามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคาดเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่เมื่อ ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยังคงรู้สึกดีใจมากอยู่ดี
นางตบมือของโจวเสาจิ่นเบาๆ พลางกล่าว “เด็กดี ผู้อื่นเห็นข้าซื้อบ้านหลังใหญ่โตให้พวก เจ้า ก็มองแค่ว่าพวกเจ้าได้รับสิ่งของจากข้ามากมายเพียงใดเท่านั้น ลําบากพวกเจ้าแล้ว แต่เด็ก ทั้งสามคนนี้ เจ้าสี่เก่งเรื่องการจัดการที่สุด ต่อให้มือเปล่าเขาก็สร้างครอบครัวขึ้นมาได้ พี่ชายใหญ่ และพี่ชายรองของเจ้ากลับมิได้มีความสามารถนี้ เจ้าคงคิดว่าข้ามีจิตใจเอนเอียงไปให้พวกเขา สองคนแล้ว”
โจวเสาจิ่นคาดเดาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงไม่คิดว่านางจะรู้เรื่องพรรคเจ็ดดาราแล้ว
แรกเริ่มที่จวนรองเรียกร้องมากขนาดนั้นตอนแยกตระกูลกับจวนหลักนั้น ก็มิใช่เพราะว่า พรรคเจ็ดดาราอยู่ในมือของเฉิงฉือหรอกหรือ
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะแยกบ้าน มองผิวเผินแล้วดูเหมือนกับว่าเฉิงจิงและเฉิงเว่ยจะได้ ผลประโยชน์มากกว่า แต่ความจริงแล้วขอเพียงพรรคเจ็ดดารายังอยู่ในมือของเฉิงฉือ ประตูเฉาห ยางทางด้านนี้ก็จะทําเงินได้อีกมากมายมหาศาลแล้ว
นางรีบกล่าว “ท่านแม่ พวกข้าไม่ลําบากเลยเจ้าค่ะ หลายปีที่ซื่อหลางทําการค้ามานี้ ก็ ได้รับการดูแลจากพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองมาไม่น้อย แบ่งเช่นนี้ถือว่าเที่ยงธรรมแล้วเจ้าค่ะ”
แม้นโจวเสาจิ่นจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องภายนอก แต่นางก็รู้ว่า การที่เฉิงฉือเปิดร้านตั๋วแลก เงินและได้ทํากิจการขนส่งเสบียงให้กองทัพทั้งเก้าได้อย่างราบรื่นในหลายปีก่อนนั้น พี่ชายที่เป็น ขุนนางอยู่ในราชสํานักทั้งสองคนก็ให้ความช่วยเหลือไม่น้อยเช่นกัน
นางกล่าวอย่างจริงใจเป็นที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางเชื่อฟังและรู้ความ ก็พยักหน้าไม่ หยุด พลางกล่าว “หีบสมบัติส่วนใหญ่ของข้าล้วนอยู่ที่นี่ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ในหนึ่งปีสี่ฤดูล้วน ต้องตกแต่งบ้านตามฤดูกาล หากขาดเหลืออะไร เจ้าเพียงไปบอกสื่อมามา ไปเปิดหีบของข้าเอา ออกมาใช้ได้เลย”
นี่คือการชดเชยให้พวกเขาอย่างลับๆ แล้ว
โจวเสาจิ่นขานรับคําอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แต่มิได้คิดจะไปแตะต้องของของฮูหยินผู้ เฒ่ากัวแม้แต่น้อย
จวบจนเฉิงฉือกลับมาถึงบ้าน ตอนที่นางปรนนิบัติเฉิงฉือเปลี่ยนอาภรณ์นั้นก็ได้เล่าเรื่องนี้ ให้เขาฟัง กล่าวอีกว่า “เช่นนั้นต่อไปพรรคเจ็ดดาราก็จะเป็นของท่านเพียงผู้เดียวแล้วใช่หรือไม่เจ้า คะ”
เฉิงฉือและโจวเสาจิ่นยังเป็นคู่แต่งงานใหม่ โจวเสาจิ่นปรนนิบัติเฉิงฉือเปลี่ยนอาภรณ์ ด้วยตัวเอง พวกสาวใช้ย่อมเดินห่างออกไปอยู่ไกลๆ ห้องชั้นในขนาดใหญ่หนึ่งห้องจึงเงียบเชียบมี เพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
หลังจากที่เฉิงฉือเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ดึงโจวเสาจิ่นมากอด และหอมหนึ่งฟอด พลางกล่าว “หากพี่ใหญ่และพี่รองเห็นด้วยกับการแยกบ้าน พรรคเจ็ดดารานั่น ก็จะเป็นของบ้านพวกเราแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่” กล่าวจบ เห็นแก้มขาวของนางอมชมพูดเป็นดอก ท้อ จึงหอมอีกฟอดหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
โจวเสาจิ่นมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ อีกทั้งพวกเขาสองคนก็เคยทําเรื่องแนบชิดยิ่งกว่านี้ มาแล้ว ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องโวยวาย ปล่อยให้เขาหอมแก้มไป พึมพํากล่าวขึ้นว่า “ข้า ข้ากําลังคิดว่า ในเมื่อเป็นของบ้านพวกเราแล้ว เลิกล้มมันไปหรือไม่ก็ไม่เอามันแล้วได้หรือไม่เจ้า คะ…”
เฉิงฉือตะลึงงัน
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ท่านดูสิเจ้าคะ ท่านมอบของให้ข้ามาตั้งมากมาย ล้วนเป็นสิน เจ้าสาวของข้าทั้งสิ้น ข้ามาคิดคํานวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว น่าจะมีสองถึงสามหมื่นเหลี่ยงได้ หนึ่งปีก็ มีกําไรถึงสองพันกว่าเหลี่ยง ตอนที่ท่านแม่ยังอยู่กับพวกเรานั้น พวกเราไม่เพียงไม่ต้องใช้เงิน แม้แต่แดงเดียว ยังมีเหลือเก็บอีกด้วย นอกจากบ้านใหญ่หลังนี้แล้ว พวกเราก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอย่าง อื่นแล้ว ท่านทําการค้าเป็น ข้าเอาสินเจ้าสาวออกมาให้ท่านเป็นเงินลงทุน พวกเราก็ทําการค้า เล็กๆ น้อยๆ ให้มีชีวิตผ่านพ้นไปได้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ ใต้หล้านี้ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ ทําเงินได้ มากมาย แต่ท่านก็ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลก ข้า ข้ากลัวเจ้าค่ะ…ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน …ท่านอย่าดูแลพรรคเจ็ดดาราอีกเลยได้หรือไม่ แม้นจะบอกว่านั่นเป็นของที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ แต่ในเมื่อนํ้าอุ้มชูเรือได้มันก็จมเรือได้เช่นกัน พวกเราใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างปกติสุขกันดีหรือไม่เจ้า คะ”
ขณะที่นางกล่าว สายตาที่มองเขานั้นเผยแววขอร้องอ้อนวอนออกมาให้เห็นเล็กน้อย อย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือมิได้กล่าวคําใด มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด
โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทางของเขาที่มือถือธนูคันใหญ่ไล่สังหารเซียวเจิ้นไห่ในวันนั้นขึ้นมา… บุรุษล้วนเสียดายมรดกตกทอดเช่นนี้กระมัง
แต่นั่นคือการเอาชีวิตไปต่อสู้ให้ได้มา
นางอยากให้เขาปลอดภัย มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างปกติสุข นางไม่อยากได้เสื้อผ้าอัญ มณี ไม่อยากได้ของที่เขาต้องเอาชีวิตไปแลกมาพวกนั้น
ขอบตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นขึ้นมา
นางกล่าวเสียงเบาว่า “ซื่อหลาง ข้าต้องการเพียงท่านก็พอ ท่านจะได้เป็นขุนนางหรือไม่ จะมีเงินหรือไม่มีก็ได้ทั้งนั้น ไปอยู่ในเรือกสวนไร่นาข้าก็อยู่ได้ ขอเพียงท่านอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง อันตรายอีก ข้าย่อมจะเป็นห่วงท่าน ข้าต้องไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขทุกคืนวันเป็นแน่…”
รอยยิ้มค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเฉิงฉือ
เขาเป็นคนรูปร่างสูง อีกทั้งยังมีเรี่ยวแรงมาก แค่หมับเดียวก็อุ้มโจวเสาจิ่นขึ้นไปนั่งบนตั่ง ของเตียงเตาได้แล้ว
โจวเสาจิ่นร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เฉิงฉือก้มหน้าลงมา เอาหน้าผากแตะเข้ากับหน้าผากของนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเป็นคน พูดเองนะว่าไม่ต้องการเงินทองต้องการเพียงข้าเท่านั้น ถึงเวลาตอนที่เห็นบุตรของบ้านอื่น แต่งงานแล้วซื้อบ้านให้บ้าง ซื้อที่ดินให้บ้าง เจ้าอย่าได้รู้สึกไม่สบายใจเชียว”
“ไม่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างตั้งใจจริง “ข้ามาจากครอบครัวขนาดเล็ก ใช้เป็นแต่ชีวิตที่เรียบง่ายเท่านั้น การใช้เงินเหมือนสะบัดฝุ่ นเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ” จากนั้นกล่าวอีกว่า “ข้า ข้าจะตั้งใจเรียนรู้การดูแลบ้านเรือนกับท่านแม่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินที่จัดการดูแลบ้านเรือนได้ดีนั้น ปีปีหนึ่งก็ประหยัดเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ต่อไปนางและเฉิงฉือจะต้องพยายามสู้ไปด้วยกัน
เมื่อความคิดวาบผ่าน ในใจของนางก็คล้ายกับเรือที่กางใบเรือขึ้น รู้สึกว่าอนาคตช่าง สดใสยิ่ง
เฉิงฉือหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ได้ ข้าจะคอยดู!”
โจวเสาจิ่นชูกําปั้น กล่าวว่า “ข้าต้องทําได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
4410
อาจเป็นเพราะว่าหาสิ่งที่ตัวเองอยากทําเจอแล้ว โจวเสาจิ่นจึงดูเต็มไปด้วยแรงฮึกเหิม ดวงหน้าเล็กแดงปลั่ง ดวงตาเป็นประกายสุกใส เมื่อเปรียบเทียบกับยามปกติแล้วทั้งร่างดูมี ชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย ให้นางหาอะไรทําสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน! เฉิงฉือขยี้ผมของนาง “ไอ้โหยว!” โจวเสาจิ่นกล่าว “หัวข้ายุ่งหมดแล้วเจ้าค่ะ” “ยุ่งก็เกล้าใหม่ได้!” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ยี่หระ โจวเสาจิ่นหน้าแดง

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน