ชิวซื่ออ้าปากค้างพูดไม่ออก กล่าวขึ้นว่า “ทะ ท่านแม่จะไม่มีเงินได้หรือ ที่ผ่านมานาง พูดจาอะไรล้วนเป็นคําไหนคํานั้นมาโดยตลอด…นางยังบอกว่าจะแบ่งอีกห้าหมื่นเหลี่ยงให้พวก พี่ชายใหญ่ด้วยนี่นา…”
เฉิงเว่ยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เมื่อกล่าวถึงเรื่องมีเกียรติมีหน้ามีตาเขาไม่ดีเท่าพี่ใหญ่ กล่าวถึงผลงานด้านเงินทองเขาก็ สู้น้องเล็กไม่ได้ การรับบ้านหนึ่งหลังและเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงมาโดยปราศจากเหตุผลที่ดีนั้น…เขา คิดไม่ตกราวกับมีหลุมกว้างนอนขวางอยู่ในใจ รู้สึกข้ามอย่างไรก็ข้ามไปไม่พ้น
เห็นภรรยาตกใจมากเพียงนั้น เขารู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จะปิดบังภรรยาเอาไว้หรือว่าจะบอกความจริงกับนางไปดีนะ?
แต่เรื่องราวเกี่ยวข้องกับพรรคเจ็ดดารา ยิ่งคนรู้มาก ความลับนี้ก็จะยิ่งเก็บเอาไว้ได้ยาก ตระกูลเฉิงก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
ในเมื่อครั้งนี้กล่าวถึงเรื่องแยกบ้านกันแล้ว มิสู้เกลี้ยกล่อมให้มารดาและน้องเล็กยกเลิก พรรคเจ็ดดาราไปเสีย!
พรรคเจ็ดดารานั้นเป็นดั่งดาบคมเล่มหนึ่ง คนที่ถือมันให้มั่นคงได้ย่อมพิชิตได้ทั้งเหนือใต้ ออกตก ขจัดปัดเป่าทุกปัญหาออกไปได้ แต่คนที่ถือมันให้มั่นคงไม่ได้ก็เสมือนกับเด็กน้อยรําดาบ มีแต่จะทําให้ตัวเองบาดเจ็บเท่านั้น นอกจากนี้เงินที่ได้จากพรรคเจ็ดดาราก็ได้มาง่ายดายเกินไป ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้วที่ความดีย่อมชนะความชั่วร้าย ครอบครัวได้รับการสนับสนุนจากพรรค เจ็ดดารามามากแล้ว ไม่อาจปล่อยให้บุตรหลานของคนรุ่นหลังละทิ้งถนนกว้างขวางอย่างการ
4416
สอบเข้ารับราชการไปไม่ยอมเดินแต่กลับไปเดินบนทางลัดคดเคี้ยวเส้นนี้ด้วยเหตุเพราะคําว่า ‘ละโมบโลภมาก’ คํานี้ได้!
เมื่อคิดเผื่อบุตรหลานแล้ว พรรคเจ็ดดารานี้ก็ไม่อาจเก็บเอาไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ใช้โอกาสตอนที่น้องเล็กมีความสามารถควบคุมพรรคเจ็ดดาราได้นี้ยกเลิกมัน ไปเสีย
เขาไตร่ตรองอยู่กว่าครู่ใหญ่ สุดท้ายตัดสินใจว่าควรจะปิดบังภรรยาเอาไว้
อย่างไรเสียเมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้มารดาและน้องเล็ก ยกเลิกพรรคเจ็ดดาราไปให้ได้ หากว่ามารดาและน้องเล็กไม่เห็นด้วย เช่นนั้นเขาจะไม่ยุ่งเรื่องใน ตระกูลอีก จะปิดประตูบ้านใช้ชีวิตเรียบง่ายของตัวเองไปก็พอ ส่วนเรื่องของพรรคเจ็ดดารานั้น เขาก็จะไม่ช่วยพูดให้บุตรหลานคนรุ่นหลังอีก ทั้งไม่ต้องการเงินจากพรรคเจ็ดดาราและไม่ให้บุตร หลานคนรุ่นหลังของเขาไปรับช่วงต่อพรรคเจ็ดดาราด้วย เช่นนั้นเหตุใดต้องให้ภรรยารู้เรื่องแล้ว เป็นกังวลใจและหวาดกลัวด้วยเรื่องนี้ด้วยเล่า
ชิวซื่อเห็นสามีขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดกว่าครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่พูดอะไร ในทางกลับกันยิ่งอยู่สี หน้าก็ยิ่งดูเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น นางอดถามสามีเบาๆ ไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไปเจ้าคะ เพราะข้าพูด อะไรไม่เหมาะสมไปใช่หรือไม่ ข้าเองก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเท่านั้น…”
เฉิงเว่ยส่ายศีรษะ ไม่ลังเลอีก กล่าวเสียงขรึมว่า “เจ้าเองก็รู้จักนิสัยยุติธรรมของท่านแม่ดี เมื่อถึงเวลาต้องแยกบ้านกันก็ยิ่งไม่ยอมให้บุตรชายคนใดต้องลําบาก ไม่อย่างนั้นเจ้าดูบ้านของ เจ้าสี่ก็ได้!”
ชิวซื่อกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “บ้านของน้องสี่เป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าดูแล้วก็งดงาม ดียิ่งนี่นา!”
4417
เฉิงเว่ยกล่าว “บ้านของเจ้าสี่ซื้อมาก่อนที่พวกเราจะแยกตระกูลกับซอยจิ่วหรูใช่หรือไม่ ซื้อบ้านขนาดถนนสามเส้นมาในคราวเดียว ห้องหับต่างๆ ก็สร้างและตกแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เป็นจํานวนเงินมหาศาลยิ่ง แต่เจ้าดูตอนนี้ ด้านของพี่ใหญ่ได้ส่วนแบ่งเป็นเงินเจ็ดหมื่นเหลี่ยง พวกเราทางด้านนี้ได้หนึ่งแสนเหลี่ยง รวมกับที่บอกว่าจะให้รั่งเกอเอ๋อร์อีกสองหมื่นเหลี่ยง ทั้งหมด เป็นเงินหนึ่งแสนเก้าหมื่นเหลี่ยง…และจะซื้อบ้านให้พวกเราอีกหนึ่งหลัง อย่างมากก็ไม่น่ามากไป กว่าหนึ่งหมื่นเหลี่ยงกระมัง เกรงว่าเงินจํานวนนี้ล้วนเป็นเงินที่เตรียมเอาไว้ให้เจ้าใช้ตอนแต่งงาน ตั้งแต่ก่อนที่จะแยกตระกูลแล้ว…”
ตั้งแต่โบรํ่าโบราณมาการออกเงินให้บุตรชายแต่งงานถือเป็นหน้าที่ ส่วนการออกเงินให้ หลานชายแต่งงานถือเป็นนํ้าใจ
เริ่มแรกตอนที่พวกเขาแต่งงานกันนั้น พ่อสามีและแม่สามีก็ไม่เคยอยุติธรรมต่อพวกเขา เลย
ชิวซื่อหัวใจกระตุก โพล่งถามออกมาว่า “หรือว่าเงินที่พวกเราใช้อยู่ตอนนี้จะเป็นเงินของ น้องสี่ทั้งหมด?”
“แปดถึงเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นเช่นนั้น” เฉิงเว่ยกล่าว ลุกขึ้นด้วยความกังวลใจ เอามือ ไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องสองรอบ
ชิวซื่อเห็นสามีลําบากใจเพียงนี้ อดกล่าวขึ้นอย่างลังเลไม่ได้ว่า “หรือไม่ พวกเราไม่ต้อง รับเงินจํานวนนั้นแล้วดีหรือไม่ ให้ท่านแม่ซื้อบ้านให้พวกเราสักหลังก็พอ บ้านก็ซื้อหลังเล็กหน่อย ขนาดสองทางเข้าก็พอแล้ว…แต่เงินสําหรับงานแต่งของรั่งเกอเอ๋อร์นั้นข้ายังคงจะรับไว้…หนึ่ง เพราะเป็นเงินที่ย่ามอบให้ ให้เขาได้รู้จักดีชั่วสักข้อหนึ่ง สองเพราะเงินสินเจ้าสาวของข้ามีน้อย เมื่อแยกบ้านกันแล้วพวกเราก็ไม่มีเงินแล้วจริงๆ พวกเราอาจจะอยู่อย่างอัตคัดได้ แต่ไม่อาจปล่อย ให้รั่งเกอเอ๋อร์ต้องอยู่อย่างอัตคัดตามพวกเราไปด้วยได้…แต่หากว่าไม่ได้จริงๆ ก็บอกเรื่องนี้ให้รั่ง
4418
เกอเอ๋อร์ได้รับรู้ สุดท้ายจะรับเงินสองหมื่นเหลี่ยงนี้หรือไม่นั้น ก็ให้เขาเป็นคนตัดสินใจเอาเอง…แต่ ว่าอย่าบอกรั่งเกอเอ๋อร์เลยจะดีกว่า ต่อให้ใจเขาอยากรับไว้ แต่ก็พูดออกมาไม่ได้แน่ สุดท้ายจะ เป็นการทําให้เด็กผู้นี้ลําบากใจเปล่าๆ…”
เฉิงเว่ยฟังแล้วก้าวออกมาโอบบ่าของภรรยาเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “มีภรรยาเช่นนี้ สามี จะร้องขออะไรอีก พวกเด็กๆ เป็นคนเชื่อฟังขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นการอุทิศแรงกายแรงใจของ เจ้าทั้งสิ้น!”
สตรีในเรือนชั้นในนั้น สิ่งที่พวกนางต้องการในชีวิตนั้นไม่เกินไปจากนี้แล้ว!
กระบอกตาของชิวซื่อพลันรื้นไปด้วยหยาดนํ้าตา รีบกล่าวขึ้นว่า “สามีท่านชมเกินไปแล้ว นับตั้งแต่ที่ข้าแต่งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นท่านแม่หรือว่าพี่ชายใหญ่น้องชายเล็กล้วนปฏิบัติต่อข้าเป็น อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะท่านแม่ เห็นข้าเป็นเสมือนกับบุตรสาวแท้ๆ คนหนึ่ง หากว่าครอบครัวประสบ กับความยากลําบาก ข้าจะเห็นแก่ตัวเองได้อย่างไร…”
เฉิงเว่ยพยักหน้า ตัดสินใจว่าควรเรียกบุตรชายเข้ามาสอบถามความคิดเห็นของเขา ดูก่อน “เนื่องจากเป็นการแยกบ้าน จึงไม่อาจให้บุตรชายเกลียดชังพวกเราในภายหลังได้”
ชิวซื่อไม่อาจขัดขวางสามี เพียงแต่ลอบรู้สึกเสียใจว่าไม่น่าพูดคําพูดนั้นออกมาเลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฉิงรั่งอายุน้อยยังไม่รู้จักความยากลําบากของชีวิตหรือเพราะชีวิตเต็ม เปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวังกันแน่ กล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า “ข้าไม่อยากได้เงินของท่านย่า หากว่าท่านย่าอยากมอบของแทนใจให้ข้า ก็ให้นางส่งต่ออักษรภาพและสมุดคัดอักษรให้ข้าสัก สองภาพดีกว่าขอรับ ต่อไปจะได้ทําเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลด้วย”
เฉิงเว่ยพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ลูบศีรษะของบุตรชายเบาๆ พลางกล่าว “ยอดบุรุษสร้าง รอยเท้าเป็นของตัวเอง บรรพบุรุษของตระกูลเฉิงของพวกเรานั้นก็เป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่
4419
ง่ายเลยกว่าจะเดินมาถึงวันนี้ได้ เจ้ามีบิดาเป็นจิ้นซื่อขั้นสองผู้หนึ่ง มีท่านลุงใหญ่เป็นขุนนางใหญ่ คนสําคัญผู้หนึ่ง และมีท่านอาเป็นผู้แตกฉานเรื่องนํ้าผู้หนึ่ง ก็ถือว่าดีกว่าผู้อื่นมากแล้ว ข้าเชื่อว่า เจ้าจะก่อร่างสร้างทรัพย์สมบัติของตระกูลขึ้นมาได้”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน