“ข้าจะทําเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “มีตระกูลไหนบ้างที่ไม่มีคนมากมาย ให้ต้องเลี้ยงดู ทําการค้านั้นคงมิใช่อยากได้แค่ชื่อเสียงโดยไม่ต้องการเงินทองหรอกกระมัง พวก เขาไม่เชื่อมั่นจวนรอง ไม่อยากเอาเงินไปฝากไว้ที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ นั่นก็เป็นแผนการของพวก เขาที่ผ่านการคิดพิจารณามาแล้ว เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
โจวเสาจิ่นยิ้มจนตาหยี
คนผู้นี้ ทําเรื่องร้ายๆ มาก็ยังไม่ยอมรับอีก!
นางกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านเลย! แต่ว่าร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่นั่นท่าน เป็นคนสร้างขึ้นมา นอกจากท่านแล้ว พวกเขาก็ไม่เชื่อใจผู้ใดอีกก็เท่านั้น น่าสงสารจวนรองที่คิด ว่าร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เป็นบ่อเงินบ่อทองอันหนึ่ง อุตส่าห์คิดวิธีเอามันไปจากมือของท่าน แต่ กลับไม่รู้ว่าเป็นคําสาปบีบคั้นให้คนตายเร็วขึ้นได้ มีแต่จะทําให้พวกเขายิ่งถลําลึกมากขึ้น ต่างหาก” กล่าวถึงตรงนี้ นางอดทอดถอนหายใจเล็กน้อยไม่ได้ พลางกล่าว “เมื่อย้อนกลับไปที่ต้น ตอแล้ว ก็ต้องโทษที่คําว่า ‘ละโมบโลภมาก’ คําเดียวเท่านั้นแล้ว!”
หากไม่มีใจละโมบโลภมาก ปล่อยพรรคเจ็ดดาราไปตั้งแต่ตอนแรกๆ จวนหลักและจวน รองจะกลายมาอยู่ในสภาพเช่นวันนี้ได้อย่างไร!
นางอดกอดเฉิงฉือเอาไว้แน่นๆ ไม่ได้ ซุกศีรษะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ กอดโจวเสาจิ่นแน่นยิ่งขึ้น
เขาหอมหน้าผากนางเบาๆ ครุ่นคิดถึงเรื่องของซอยจิ่วหรู
เนื่องจากคนที่ก่อนหน้านี้เคยฝากเงินไว้กับร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ต่างทยอยกันแลกคืนเป็น เงินสด จวนรองก็หาคนมาฝากเงินเพิ่มเข้าไปไม่ได้ หากอยากให้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ดําเนิน
4434
กิจการได้ตามปกติ ก็ต้องเอาเงินของตัวเองออกไปหมุน แต่จวนรองไม่มีคนทําการค้าเป็นเลยสัก คน เก็บเงินไว้ในบ้านมันก็ไม่อาจงอกเงยขึ้นมาเองได้ ความรู้สึกที่ว่านั่งกินจนภูเขาว่างเปล่าทําให้ คนของจวนรองรู้สึกตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ความโลภที่บดบังสติปัญญาทําให้พวกเขาเปลี่ยนกฎ จากที่เขาเคยกําหนดไว้ว่าจ่ายปันผลหนึ่งฤดูกาลหนึ่งครั้งเป็นจ่ายปันผลปลายปีเหมือนกับตระกูล พ่อค้ารายอื่นๆ เมื่อข่าวคราวแพร่ออกไป มีแต่จะทําให้คนรู้สึกว่ากิจการของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ นั้นกําลังมีปัญหา จึงไม่ยอมนําเงินไปฝากที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ และยิ่งไม่ยอมใช้เงินแลกเปลี่ยน ตั๋วเงินของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ เมื่อผ่านไปนานวันเข้า สิ่งที่ร้านอวี้ไท่สูญเสียไปมิใช่แค่ลูกค้า เท่านั้น ยังเสียชื่อเสียงความน่าเชื่อถืออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจที่ไร้ซึ่งชื่อเสียงความน่าเชื่อถือ นั้นก็อยู่ไม่ไกลจากการต้องปิดตัวลงแล้ว นอกจากนี้บรรดาธนาคารที่ร่วมทําธุรกิจกับร้านอวี้ไท่ เหล่านั้นก็มิได้กินหญ้า จะต้องหาวิธีฮุบเงินที่ใช้สําหรับแลกเปลี่ยนตั๋วเงินก้อนนั้นอย่างเป็นเหตุ เป็นผลแน่นอน
ถึงเวลานั้นเงินที่จวนรองต้องสูญเสียไปจะมิใช่เงินแค่สามแสนเหลี่ยงนี้เป็นแน่ คิดถึงตรงนี้เขาก็แสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ
เฉิงซวี่มองเขาผิดไปแล้วจริงๆ
เขาคิดว่าตนต้องจากบ้านไปตั้งแต่เล็กจะต้องคิดถึงครอบครัว ต้องให้ค่ากับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรักในครอบครัว’ เหล่านั้น จึงใช้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่มาบีบคั้นเขา ไม่ให้เขาเห็นด้วยกับการ แยกตระกูล
แต่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เพียงหนึ่งร้าน จะสําคัญกว่าชีวิตของเขาได้อย่างไร
ไม่มีร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่แล้ว เขายังสร้างร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ขึ้นมาอีกหนึ่งร้านได้ แต่ให้ เขามองเด็กน้อยของเขาแต่งกับผู้อื่น กระซิบกระซาบวาจาอ่อนหวานกับผู้อื่น และมีบุตรชายหญิง กับผู้อื่นไปเฉยๆ นั้น…แค่คิดเขาก็รู้สึกราวกับถูกคว้านหัวใจด้วยมีดแล้ว
4435
เฉิงฉือหอมหน้าผากโจวเสาจิ่นอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “ผ่านพ้นปี ใหม่ไปแล้ว พวกเรามีลูกสักคนดีหรือไม่”
เรื่องเช่นนี้ก็กําหนดได้ด้วยหรือ โจวเสาจิ่นหน้าแดง นางเองก็อยากได้ลูกสักคนหนึ่งเช่นกัน
นอกจากนี้นางเชื่อใจเฉิงฉือมาโดยตลอด นางแล้วแต่เฉิงฉือ ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ นางก็ พยักหน้า พึมพําขานรับคําว่า “เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือจึงกอดนางแน่นยิ่งขึ้น ปีหน้า เด็กน้อยก็จะโตขึ้นอีกหนึ่งปีแล้ว น่าจะสมบูรณ์พร้อมมากขึ้นแล้วกระมัง สายตาของเขาเคลื่อนไปตกอยู่บนส่วนที่นูนขึ้นมาเป็นเนินเขาโค้งเว้าของนางอย่างห้าม ไม่อยู่ หากมองเพียงรูปร่างนี้ จะมีใครคิดว่านางเพิ่งจะปักปิ่นไปไม่นานเท่านั้น ผ่านไปอีกสักสองสามปี ไม่รู้ว่าจะงดงามเพียงใด!
อีกทั้งนางยังมีดวงหน้าที่งดงามหาใดเปรียบ ดวงตากระจ่างใสยิ่งกว่านํ้าในฤดูใบไม้ผลิ คล้ายกับธรรมชาติขุนเขาแม่นํ้าอันบริสุทธิ์ที่มิเคยผ่านการปนเปื้อนของโลกมนุษย์มาก่อน ทําให้ คนอยากเห็นสภาพตอนที่นางตกลงไปในโลกมนุษย์อย่างอดใจไม่อยู่…
เฉิงฉือถอนหายใจ
4436
โชคดีที่เด็กน้อยมีนิสัยเรียบร้อย ไม่นิยมออกไปเข้าสังคมสังสรรค์ จึงลดปัญหาวุ่นวายไป ได้มาก ไม่อย่างนั้นหากชื่อเสียงความงามนี้ถูกแพร่ออกไป ธรณีประตูบ้านของพวกเขาต้องถูก พวกภรรยาเหล่านั้นหาเรื่องมาเหยียบจนสึกไปสามชุ่นเป็นแน่
ถึงเวลานั้นเด็กน้อยจะต้องสลดหดหู่ใจมากเป็นแน่
นึกภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้อยากเล่นไพ่ใบไม้กับ พวกชุนหว่านหรือไม่”
ขจัดความน่าเบื่อหน่ายของการเดินทางออกไปครู่หนึ่ง
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
หากนางเล่นไพ่ใบไม้กับพวกชุนหว่าน เฉิงฉือก็ต้องไปนั่งรถม้าอีกคันหนึ่ง นางก็ต้องแยก กับเฉิงฉือ…นางอยากอยู่กับเฉิงฉือ ต่อให้ไม่ได้พูดอะไรกันสักประโยค ขอเพียงได้เห็นเขา ได้ สัมผัสถึงลมหายใจของเขา รู้ว่าเขาอยู่ข้างๆ นาง นางก็พอใจแล้ว
เฉิงฉือกลับไม่อาจปล่อยให้นางเมาจนหลับไปทั้งวันเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นผ่านไปสักสอง สามวันจะกลายเป็นคนไร้ชีวิตชีวาได้
เมื่อดื่มนํ้าแกงไก่เรียบร้อยแล้วเขาและโจวเสาจิ่นก็เข้านอนแต่หัวคํ่า วันรุ่งขึ้นใช้ผ้าห่มผืน เล็กห่อตัวนางแล้วกอดเอาไว้ในอ้อมกอด เลิกผ้าม่านขึ้นชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกไปพร้อมกับนาง
เมืองเป่ าติ้งเป็นสถานที่ที่ต้องเดินทางผ่านเมื่อจะเดินทางจากจิงเฉิงไปทางใต้ แม้น อากาศจะหนาวเย็นเต็มไปด้วยหิมะและนํ้าแข็ง แต่ใกล้จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว บนถนนจึงยังมี คนเดินทางอยู่เป็นจํานวนมาก โดยมากต่างเร่งเดินทางกลับบ้านไปเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่
4437
เฉิงฉือจึงกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เทศกาลปีใหม่ของปีนี้เป็นเทศกาลปีใหม่ครั้งแรกของ พวกเราหลังจากที่แต่งงานแล้ว เกรงว่าถึงเวลานั้นคงต้องไปรับประทานอาหารรวมญาติกันที่ซอย ซิ่งหลิน”
เนื่องจากแต่งงานกับเฉิงฉือและเป็นสะใภ้ของตระกูลเฉิงแล้ว จึงไม่อาจหลบเลี่ยงซอยซิ่ง หลินไปตลอดได้
เฉิงฉือทําเพื่อนางมากมายขนาดนี้แล้ว นางเองก็อยากทําอะไรเพื่อเฉิงฉือให้เขาได้มี ความสุขบ้างเช่นกัน
โจวเสาจิ่นจับนิ้วก้อยของเฉิงฉือเอาไว้ สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่เป็นไรเจ้า ค่ะ ถึงเวลานั้นพวกเราก็แค่ไปรับประทานอาหารรวมญาติกันที่ซอยซิ่งหลินก็ได้แล้ว”
ราวกับว่าทําเช่นนี้แล้วจะดูดซับเอาความกล้าหาญจากร่างของเฉิงฉือมาได้บ้างก็ไม่ปาน ความอบอุ่นอ่อนหวานที่วาบหวามนั่น ทําให้เฉิงฉือใจสั่นไม่หยุด
เขาจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กระซิบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เชื่อใจข้า ข้าไม่ปล่อยให้มีเรื่องเกิด ขึ้นกับเจ้าอย่างแน่นอน!”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน