เรื่องเฉลิมฉลองปีใหม่จึงเป็นอันตกลงกันตามนี้
เย็นวันนั้นเฉิงจิงรับประทานอาหารเย็นที่ประตูเฉาหยาง นั่งอยู่ที่นั่นเนิ่นนานก็ไม่เอ่ยถึง เรื่องกลับบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดสองสามีภรรยาคงทะเลาะกัน แต่ก็ไม่เอ่ยถามถึงเรื่องที่ซอยซิ่ง หลิน รั้งให้เฉิงจิงอยู่ค้างคืนด้วย
เฉิงจิงเองก็ไม่ปฏิเสธคําชวน พักอยู่ที่ห้องกั้นด้านข้างของฮูหยินผู้เฒ่ากัว พูดให้สุภาพว่า ต้องการ ‘ปรนนิบัติดูแล’ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่ายศีรษะยิ้มๆ ไม่สนใจเฉิงจิงอีก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉินเซียงและคนอื่นๆ ปรนนิบัติส่งเฉิงจิงไปทํางาน ส่วนโจวเสาจิ่นให้ปี้อวี้ ไปหารือกับที่บ้านเฉิงเว่ยเรื่องวันปีใหม่
ส่วนซอยซวงอวี๋ทางด้านโน้นนั้น เฉิงฉือไปด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง
หลังจากเฉิงเซ่าปรึกษากับฉางซื่อแล้ว ก็ตอบรับด้วยความยินดี
ชิวซื่อไม่เพียงตอบรับเท่านั้น ยังพาเซี่ยซื่อมาเยี่ยมที่บ้านอย่างดีอกดีใจอีกด้วย ยิ้มแย้ม สอบถามว่ามีอะไรที่พวกนางพอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่ กล่าวอีกว่า “ตอนนี้พวกข้าไม่ต้อง เตรียมมื้ออาหารในคืนท้ายปีแล้ว เรื่องที่ต้องทําจึงลดลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
โจวเสาจิ่นจับมือของเซี่ยซื่อไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องๆ พวกเจ้าเพียงเตรียมท้องมากินก็ พอแล้ว”
ชิวซื่อรู้ว่าบ่าวไพร่ที่ประตูเฉาหยางมีไม่น้อย จึงไม่เกรงใจโจวเสาจิ่นอีก พาเซี่ยซื่อมา พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวทุกสามวันห้าวัน
5350
ตอนบ่าย ฉางซื่อพาอาเป่ากับอาเหรินมาหา
เด็กทั้งสองคนเข้าประตูมาก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของชิวซื่อ หลังจากทําความเคารพชิวซื่อ และคนอื่นๆ เสร็จแล้วก็วิ่งไปเล่นกับอวิ้นเกอเอ๋อร์
ดวงตาที่มองเด็กทั้งสองคนของฉางซื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวขออภัยฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เด็กสองคนนี้ล้วนไม่อยู่นิ่งๆ เลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “ตอนเป็นเด็กไม่วิ่งซน รอให้เป็นผู้ใหญ่แล้วซนไม่ หยุดถึงเวลานั้นเจ้าเสียใจก็ไม่ทันการแล้ว” จากนั้นทอดถอนใจกล่าวว่า “นี่ต่างหากถึงจะเป็น ธรรมชาติของเด็ก! เจ้าดูตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึงใหม่ๆ นั่น ยกนํ้าชาของว่างไปวางไว้ข้างมือพวก เขา พวกเขากลืนนํ้าลายทว่าก็ไม่กล้ายื่นมือไปหยิบขนม…เป็นพวกเจ้าที่สั่งสอนได้ดี! เช่นนี้ถึงจะ เหมือนกับเป็นบุตรหลานของพวกเรา”
ฉางซื่อและชิวซื่อรีบกล่าวว่า “มิกล้ารับเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีอะไรให้ไม่กล้ารับกัน! ทําความดีย่อมได้รับสิ่งดีตอบแทน พวกเจ้าปฏิบัติกับพวกเขาเช่นนี้ได้ ต่อไปก็รอรับความสุขจากพวกเขาได้เลย”
ทุกคนพูดคุยหัวเราะ จิบนํ้าชากินของว่างเล่นไพ่กัน อยู่เล่นกันอย่างมีความสุขจนถึงเวลา จุดโคมไฟถึงได้แยกย้ายกันกลับ
กระทั่งเฉิงจิงเลิกงานกลับบ้านมาหยวนซื่อถึงได้รู้เรื่องนี้
นางโกรธจนปวดตับไปครู่ใหญ่และไม่พูดอะไรไปอีกครู่ใหญ่
ภรรยาเอกไม่ถวายเครื่องบูชาแด่บรรพบุรุษ ไม่เตรียมมื้ออาหารคืนท้ายปียังจะนับว่าเป็น ภรรยาเอกอีกหรือ
5351
หยวนซื่อนึกถึงอากัปกิริยาอ่อนโยนประหนึ่งกิ่งหลิวของโจวเสาจิ่นขึ้นมา…นางก็เปลี่ยน ความคิดในทันที
ก็ดีเหมือนกัน ให้นางมาดูแลเรื่องถวายเครื่องบูชาแด่บรรพบุรุษของปีนี้ ให้นางได้ลิ้มรส ความยากลําบากของตนดูบ้าง
“ท่านแม่คงมิได้กล่าวโทษข้าหรอกกระมัง น้องสะใภ้รองไม่ว่าอะไรหรือ” นางพิงอยู่บน หมอนใบใหญ่กล่าวกับเฉิงจิงอย่างอ่อนแรง “นึกถึงเจียซ่านเมื่อไร ข้าก็รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงจริงๆ”
ความจริงแล้วนางมิได้ป่ วย แสร้งป่ วยอาจจะไม่ผิดนัก บอกว่าเป็นการ ‘ป่ วยทางใจ’ จะ ดีกว่า
เฉิงจิงถอนหายใจ สีหน้าสงบลงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่มิใช่คนใจแคบประเภทนั้น ปีนี้ต้องรบกวนภรรยาของเจ้าสี่ช่วยจัดเตรียมของเซ่นไหว้ต่างๆ เจ้าเจอน้องสะใภ้สี่ก็ต้องกล่าว ขอบคุณน้องสะใภ้สี่สักครั้ง”
“นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!” หยวนซื่อแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ นอนป่วยอยู่บนเตียงต่อไปอย่าง สบายใจ
โจวเสาจิ่นมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยชี้แนะ มีฝานหลิวซื่อและซางมามาคอยช่วยเหลือ มอง ธุระในวันปีใหม่ทั้งหมดเป็นเรื่องน่าสนุกเรื่องหนึ่ง ทุกวันเมื่อเฉิงฉือเลิกงานกลับมาแล้วจะเล่าให้ เขาฟังว่าตนทําอะไรไปบ้าง
ระยะนี้เฉิงฉือเองก็ค่อนข้างยุ่ง เดิมทีรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่หยวนซื่อสลัดมือไม่สนใจ แต่ เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเล่าเรื่องของวันฉลองปีใหม่อย่างมีชีวิตชีวาแล้ว เขาคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว เหมือนกัน สักวันหนึ่งสาวน้อยของเขาก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องรู้เรื่องพิธีกรรมการเซ่นไหว้บรรพ บุรุษเหล่านี้ ตอนนี้ให้นางลองฝึกปรือฝีมือดู ต่อไปก็คุ้นเคยแล้ว
5352
เขาฟังโจวเสาจิ่นพูดอย่างตั้งใจ
ซอยอวี๋ซู่มาแจ้งข่าวดี บอกว่าโจวชูจิ่นคลอดบุตรชายคนที่สองออกมาแล้ว ฮูหยิน ใหญ่เลี่ยวดีใจเป็นอย่างมาก ตั้งชื่อให้ว่า ‘เยี่ยนเกอ’ นายท่านใหญ่เลี่ยวที่อยู่ไกลถึงเจิ้นเจียงได้ยิน แล้วก็ดีใจมากเช่นกัน เขียนจดหมายมาบอกว่าจะมาจัดพิธีครบรอบร้อยวันให้หลานชายที่จิงเฉิง ฮูหยินใหญ่เลี่ยวได้ยินแล้วเดือดดาลเป็นอย่างมาก เขียนจดหมายกลับไปบอกว่าให้เขา ‘อยู่บ้าน เงียบๆ ไป อย่ามาจิงเฉิงให้บุตรชายขายหน้า ดีร้ายอย่างไรตอนนี้บุตรชายก็เป็นขุนนางยศขั้นเจ็ด ล่างแล้ว หน้าที่การงานกําลังไปได้ดี’ และอื่นๆ อีกมากมาย ได้ยินว่านายท่านใหญ่เลี่ยวได้รับ จดหมายแล้วฉีกจดหมายทิ้งเป็นชิ้นๆ อย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ให้บ่าวชายมาด่าฮูหยินใหญ่ เลี่ยวว่า ‘สตรีไร้คุณธรรม’…บ่าวชายผู้นั้นจะกล้าด่าจริงๆ ได้อย่างไร ตัวสั่นเทาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่ อาจพูดให้ชัดเจนได้ว่านายท่านใหญ่เลี่ยวพูดว่าอะไรบ้าง…
ตอนทําพิธีครบรอบเดือนให้เยี่ยนเกอโจวชูจิ่นแอบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเหล่านี้ให้โจว เสาจิ่นฟัง ยังกล่าวอย่างเป็นกังวลด้วยว่า “…ถ้าหากพ่อสามีข้ามาจิงเฉิงแล้วพวกเขาทะเลาะกัน ขึ้นมาคงวุ่นวายแน่แล้ว!”
ในฐานะบุตรสะใภ้ นางช่วยผู้ใดก็ไม่ถูกต้องทั้งนั้น
แต่ให้ละเลยไม่สนใจก็ยิ่งไม่ถูกต้องไปกันใหญ่
โจวเสาจิ่นไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นปัญหา
นางตบหลังเยี่ยนเกอที่อยู่ในอ้อมแขนเบาๆ พลางมองสํารวจองคาพยพทั้งห้าของเยี่ย นเกอไปด้วย กล่าวขึ้นว่า “คนเป็นบุตรสะใภ้ มือข้างหนึ่งเป็นบ้านเดิมมืออีกข้างหนึ่งเป็นบ้านสามี คนเป็นบุตรชายก็เหมือนกันมิใช่หรือ หากนายท่านใหญ่เลี่ยวและฮูหยินใหญ่เลี่ยวมีปากเสียงกัน รุนแรง คาดว่าพี่เขยเองก็เสียเกียรติเช่นกัน ท่านไม่ออกหน้าไปพูดไกล่เกลี่ยให้ พี่เขยก็ย่อมออก หน้าไปไกล่เกลี่ยให้อยู่ดีกระมัง”
5353
โจวชูจิ่นฟังแล้วดวงตาเป็นประกาย มองสํารวจโจวเสาจิ่นขึ้นลงยิ้มๆ อย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวว่า “เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ช่วยเสนอแนะความคิดให้พี่สาวได้แล้ว”
หากถามว่าเป็นคนมาสองชาติภพมีอะไรที่โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจก็คงจะเป็นเรื่องที่ ช่วยเหลืออะไรพี่สาวไม่ได้ พอได้ยินพี่สาวกล่าวเช่นนี้ นางรู้สึกหอมหวานยิ่งกว่าได้กินนํ้าผึ้งเสีย อีก อดไม่ได้พิงเข้ากับร่างของพี่สาว เอ่ยถามนางอย่างออดอ้อนว่า “จริงหรือเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นหัวเราะร่า กล่าวหยอกเย้านางว่า “เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูให้ ละเอียดอีกที ที่แท้ก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่ง”
หลังจากเฉิงเก้าแต่งงานแล้วลูกคนแรกเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอย่างที่คาดเอาไว้ มีนามว่า “หยวนหยวน” กูที่สิบเจ็ดกู้เองก็คลอดบุตรสาวผู้หนึ่งเช่นกัน ตั้งชื่อตามหยวนหยวนว่าฟางฟาง… หากมีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คงมีนามว่า “เหลิงเหลิง” แล้วกระมัง
ความคิดวาบผ่าน รู้สึกแน่นหน้าอก อ้าปากอยากจะอาเจียน รู้สึกหนักศีรษะวิงเวียนและ หน้ามืด
5356
ฝานหลิวซื่อเห็นสีหน้านางไม่ปกติ ร่างกายซวนเซ จึงรีบสาวเท้าเข้าไปประคองโจวเสาจิ่น เอ่ยซํ้าๆ ว่า “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นจับมือของฝานหลิวซื่อไว้พลางนั่งลงมา กล่าวเสียงหนึ่งว่า “ข้าไม่เป็นไร” ทว่า อาการพะอืดพะอมในใจยิ่งอยู่กลับยิ่งรุนแรงขึ้น กดทับอยู่ในใจอย่างหนักหน่วง ทําให้คนหายใจ ไม่ออก
ฝานหลิวซื่อเหงื่อซึมไปทั้งศีรษะ รีบกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยิน ข้าจะให้คนไปเชิญท่านหมอมาให้ ท่าน”
โจวเสาจิ่นมือทาบอก ครู่ใหญ่ถึงจะได้สติคืนกลับมา
ชุนหว่านกําหนดวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว กําลังเร่งเตรียมสินเจ้าสาวอยู่ ได้ยินข่าวคราว ก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ฝานหลิวซื่อประคองโจวเสาจิ่นไปเอนกายพักผ่อนบนเก้าอี้โยกในห้อง ชั้นในได้ครู่หนึ่งแล้ว
“อาจเป็นเพราะสองสามวันนี้เหนื่อยมากเกินไป” นอกจากข้อนี้ โจวเสาจิ่นก็นึกไม่ออก แล้วว่าเหตุใดตนถึงรู้สึกไม่สบาย นางลุกขึ้นมานั่ง ความรู้สึกพะอืดพะอมนั้นก็คลายลงไปแล้ว นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะๆ พวกเจ้าก็อย่าตระหนกไป” ยํ้ากําชับอีกว่า “ห้ามพูดอะไรต่อหน้าฮู หยินผู้เฒ่าเป็นอันขาด” ทําให้นางกังวลใจไปเปล่าๆ
ทุกคนขานรับคําอย่างพร้อมเพรียงกัน
หมอหลวงเฉามาถึงแล้ว
โจวเสาจิ่นประประหลาดใจยิ่ง ถามฝานหลิวซื่อว่า “เหตุใดท่านหมอถึงมาถึงเร็วเยี่ยงนี้”
5357
บ่าวชายที่ตามหมอหลวงเฉามาด้วยกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านของพวกข้าอยู่บ้านพอดี กําลังจะออกไปเดินเล่นข้างนอก พ่อบ้านของพวกท่านไปถึงก่อน นายท่านจึงให้ข้านํากล่องยาตรง มาที่นี่เลยขอรับ”
โจวเสาจิ่นให้คนตกเงินรางวัลให้ คิดว่าปกติไม่ง่ายเลยกว่าจะเชิญหมอหลวงเฉามาได้ ใน เมื่อมาถึงแล้ว ตรวจชีพจรสักครั้งก็ดีเหมือนกัน จึงให้คนในห้องหลบออกไป วางผ้าเช็ดหน้าบนมือ หลบอยู่หลังผ้าม่านให้หมอหลวงเฉาตรวจชีพจร
หมอหลวงเฉาวางมือลงไปแล้วก็ยิ้มออกมา รอให้จับมือซ้ายเสร็จแล้วก็กล่าวอย่างมั่นใจ ว่า “ยินดีกับฮูหยินด้วย เป็นชีพจรมงคล”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง
นับตั้งแต่เดือนสิบสองเป็นต้นมาจนถึงตอนนี้ ในสิบวันมีเก้าวันแล้วที่เฉิงฉือต้องจากบ้าน แต่เช้าและกลับมาดึกดื่นไม่ได้เจอหน้า ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีข่าวยินดีแล้ว
“เร็วเข้า รีบเชิญหมอหลวงเฉาไปนั่งดื่มชาที่โถงรับรอง” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี
ฝานหลิวซื่อยิ่งแล้วใหญ่ก้าวขาจะวิ่งออกไปด้านนอก พลางกล่าว “ข้าจะไปแจ้งข่าวดีให้ฮู หยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน