ตอนที่ 119 ผลงานชิ้นโบว์แดง!
เป็นเวลานานแล้วที่โจวเจ๋อไม่ได้เห็นไป๋อิงอิงต่อสู้ งานที่ไป๋อิงอิงทำทุกวันความจริงแล้วก็คือทำความสะอาด เป็นพนักงานร้าน รวมทั้งเล่นเกมและนอนเป็นเพื่อน
แต่โจวเจ๋อไม่เคยลืมมาโดยตลอด ถึงฉากในตอนแรกที่ตัวเองกับสวี่ชิงหล่างต้องต่อสู้กับไป๋อิงอิงอย่างจริงจังหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา
ไป๋อิงอิงทำไมถึงได้เชื่อฟังขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะว่าเคยถูกเล็บของเขาเสียบเข้าไปจนเจ็บทรมานมาก
แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลายเป็นลูกนกกระทาตัวน้อยจริงๆ อย่างเช่นครั้งที่แล้วที่โจวเจ๋อเห็นไป๋อิงอิงเล่นเกม เนื้อแท้ของเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนโยนเลย
ผีดิบ อย่างไรก็คือผีดิบอยู่วันยังค่ำ ปัจจัยที่โหดเหี้ยมที่ฝังอยู่ในกระดูกไม่มีทางถูกทำลาย ก็เหมือนกับตอนที่โจวเจ๋อ ‘ดื่มเหล้าจนภาพตัด’ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยจริงๆ
ถ้าหากผีดิบเป็นเด็กดีน่ารักเชื่อฟังจริงๆ แม่นางไป๋ที่ลงนรกไปตอนแรก คงไม่กำชับโจวเจ๋อเป็นพิเศษว่าให้ใช้ไม้ไผ่เผาศพตัวเองในเทศกาลเสื้อกันหนาวครั้งถัดไป
ส่วนชายชราคนนั้นที่สาวน้อยโลลิพูดว่าเป็น ‘ผีซากศพ’ โจวเจ๋อไม่รู้ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร แต่พอจะเดาได้ว่ายังสู้ผีดิบที่แท้จริงไม่ได้
อย่างน้อยไป๋อิงอิงก็ไม่หิ้วถุงพลาสติกแล้วจู่ๆ นิ้วก็หักลงมา และไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวน่ารังเกียจลอยอออกมาจากร่างกาย ถ้าหากไป๋อิงอิงเป็นแบบนี้ เช่นนั้นโจวเจ๋อยอมที่จะนอนอยู่ในตู้แช่เย็นต่อไปและจะไม่ยอมให้เธอนอนเป็นเพื่อน
กระทั่งจะรอให้เทศกาลเสื้อกันหนาวมาถึง แล้วโจวเจ๋อก็จะนำไป๋อิงอิงไปทำพิธีเผาโดยไม่ลังเล
ดังนั้นจึงพูดว่านี่คือสังคมที่ดูหน้าตาเป็นหลัก มีคนมากมายหลังจากที่แข่งเรื่องหน้าตาแล้วเสียใจจึงพูดอย่างไม่ยินยอมว่า ‘จิตใจข้างในสำคัญกว่า’
แต่ในความเป็นจริง ต่อให้คุณตายแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าตาก็เป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง
‘โครม! โครม! โครม!’ เสียงดังโครมครามดังมาจากห้องครัว เสียงพื้นแตก กำแพงถูกทุบยุบลงไป การต่อสู้ของผีดิบทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างมีกำลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เวลาต่อสู้กันจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่สามารถมองออกว่าไป๋อิงอิงนั้นเหนือกว่า กระทั่งยังเหลือแรงอีกเยอะ
และชายชรายังถูกสาวน้อยโลลิทำร้ายจนบาดเจ็บหนักก่อนหน้านี้ แต่เขายังไม่ตาย ไม่ตายจริงๆ
ไม่พูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่พลังชีวิตของเขาก็เยอะมากจนน่ากลัวแล้ว
แต่ไป๋อิงอิงก็เหมือนกับสุนัขตัวน้อยน่ารักตัวหนึ่ง
ทันทีที่โจวเจ๋อออกคำสั่ง เธอก็พุ่งออกไปทันที กระโจนใสเหยื่อจนล้มลง จากนั้นก็ลากเหยื่อมาตรงหน้าโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อนั่งลงยองๆ ตรงหน้าชายชรา เขามองชายชรา ชายชราก็มองเขา
“นาย…นายก็เป็นยมทูต…”
โจวเจ๋อพยักหน้า
“ยมทูตตาบอด…”
ชายชราด่าโจวเจ๋อหนึ่งที หากไม่เป็นเพราะไม่มีเนื้อหนังที่ใต้คางแล้ว ไม่แน่น้ำเหลวข้นจะต้องกระเด็นออกมาแน่นอน
“ผมสงสัยเรื่องหนึ่งมาตลอด วันนั้นตอนที่ผมอยู่ที่โรงพยาบาล คุณก็ดูอยู่ข้างๆ ด้วยใช่ไหม”
“ฉันไม่อยู่” ชายชราตอบ “ดังนั้น…คนที่โรงพยาบาล…ถูกคุณ…ทำให้สลบเหรอ”
โจวเจ๋อไม่ตอบ
“คนพวกนั้น…เป็นพวกสวะ..” ชายชราพูดซ้ำ
“อืม” โจวเจ๋อแสดงออกว่าเห็นด้วย
“ชั่วช้า สมควรตาย สมควรถูกกิน!” ชายชราพูดอย่างดื้อดึง “สวรรค์ไม่ยอมให้ฉันตายสนิท…เพราะอยากให้ฉัน…อยากให้ฉันจัดการ…จัดการพวกเขา”
“แล้วเขาล่ะ” โจวเจ๋อชี้ไปที่หวังเคอที่สลบอยู่ข้างๆ
ชายชราลังเลเล็กน้อย หลังจากถูกไป๋อิงอิงซัดจนน่วม อารมณ์โกรธของเขาก็หายไปเยอะมาก
ดังนั้นตอนที่คุณอารมณ์เสีย สามารถไปที่สตูดิโอเต้นรำหรือห้องบิลเลียดที่อยู่ริมถนน แล้วดีดขี้มูกแห้งใส่กลุ่มคนที่มีรอยสักดูอันธพาลที่สุด แค่นี้คุณก็จะอารมณ์ดีทันที
“ฉันไม่รู้…” ชายชราตอบ
หวังเคอสามารถอธิบายอย่างใจเย็นภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ตอนที่ตัวเองเจอกับภัยคุกคามถึงชีวิต ยังคงชี้แจงเรื่องของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน ในความเป็นจริงนั้น สามารถอธิบายปัญหานี้ได้ดีมาก
ถ้าไอ้หมอนี่ไม่มองเรื่องการตายเป็นเรื่องปลงสังขาร ไม่กลัวตายเลย อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้สึกละอายใจอยู่แล้ว ตายเป็นตาย แต่จะไม่ยอมให้เอาอึมาราดหัวเขาแน่นอน
“แต่คุณก็คิดจะฆ่าเขา ต้มเอาเนื้อมากิน คุณกินคนจนติดใจแล้วใช่ไหม” โจวเจ๋อยิ้มถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล