สรุปตอน ตอนที่ 126 บาทหลวง – จากเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล โดย Internet
ตอน ตอนที่ 126 บาทหลวง ของนิยายActionเรื่องดัง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 126 บาทหลวง
โกรธไหม
ต้องโกรธอยู่แล้ว!
“เถ้าแก่ เรา…พวกเราแจ้งตำรวจเถอะ”
นักพรตเฒ่าเสนอความเห็นอยู่ข้างๆ
จากนั้นเขาก็พบว่าโจวเจ๋อกำลังใช้สายตาที่เหมือนกับเป็นห่วงเด็กที่พิการทางสมองมองเขาอยู่
เอ่อ…
ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
แต่เจ้าบอกอยู่ตลอดว่าหากมีเรื่องอะไรก็ให้แจ้งตำรวจ เป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ใช่หรือ ข้าทำตามคำพูดและจิตวิญญาณของเจ้ามาโดยตลอดเลยนะ
“นี่ นักพรตเฒ่า” โจวเจ๋อพูดช้าๆ
“หืม”
“ถ้าถูกขโมยเงิน คุณจะโกรธไหม”
“แน่นอนว่าต้องโกรธสิ”
“แล้วถ้าอัฐิของคุณถูกขโมย คุณจะโกรธไหม”
“เอ่อ…”
ใครจะวิปริตเหมือนเจ้ากัน ร่างกายเดิมกลายเป็นอัฐิไปหมดแล้ว ยังจะมาถกปัญหาเรื่องโกรธหรือไม่โกรธอยู่ได้
“ผมจะตามหาเจ้านั่นให้เจอ”
แววตาของโจวเจ๋อเริ่มมีประกายสีดำแวววาวไหลเวียน และเล็บทั้งสิบนิ้วก็เปล่งแสงสว่างอันประหลาดออกมา
“จากนั้นก็ฉีกร่างมันเป็นชิ้นๆ”
ขโมยอะไรก็ไม่ขโมยดันมาขโมยอัฐิของฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะฝังแกไว้กับอัฐิของฉันด้วยกันเสียเลย
“ตรงนั้นเป็นสำนักงานสุสาน ไปเอาภาพจากกล้องวงจรที่นั่นให้หน่อย”
โจวเจ๋อสั่งนักพรตเฒ่า นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว ได้ เจ้าเป็นเถ้าแก่ เจ้าว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น ข้าไม่เดาความคิดเจ้าแล้ว
ประตูที่ล็อกไว้ของสุสานถูกโจวเจ๋อพังไปแล้ว ทั้งสองเดินเข้ามา นักพรตเฒ่านั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องควบคุม และเริ่มดึงข้อมูลวิดีโอที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็ล็อกกล้องวงจรปิดเอาไว้ในตำแหน่งที่สามารถสังเกตการณ์ป้ายหลุมฝังศพของโจวเจ๋อได้
“ช่วงเทศกาลเช็งเม้งตอนกลางคืน”
โจวเจ๋อกำหนดเวลาที่ชัดเจน
เพราะว่าร่องรอยการเคลื่อนย้ายป้ายหลุมฝังศพนั้นยังไม่หายไปเสียทีเดียว จะต้องเป็นเรื่องที่ผ่านไปเมื่อสองสามวันก่อนไม่นานนี้นี่เอง ไม่อย่างนั้นหากผ่านไปแล้วสิบกว่าวันหรือครึ่งเดือนละก็ โจวเจ๋อคงไม่พบเบาะแสนี้แน่นอน
แม้แต่ตอนที่ตัวเองมากราบไหว้ตัวเองทุกๆ ปีในอนาคต ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่ตัวเองกราบไหว้ไปทั้งหมดนั้นไม่ใช่อัฐิของตัวเอง และไม่ใช่อดีตของตัวเอง แต่กลับเป็นกล่องเม็ดพลาสติกไปเสียได้
จากนั้นตัวเองก็เข้ามาไว้อาลัยกับกล่องเม็ดพลาสติกในช่วงเทศกาลทุกปี
“เถ้าแก่ ข้าว่านะ ในเมื่ออีกฝ่ายขโมยของไปแล้วก็น่าจะลบวิดีโอในกล้องวงจรปิดไปด้วยเสร็จสรรพแล้วละ ฉากแบบนี้ในทีวีมีถมไป พวกเรายังมาตรวจเช็กวิดีโอกล้องวงจรปิดนี่ในตอนนี้อีก เป็นฉากไร้สาระที่ข้าไม่ชอบดูที่สุดเมื่อดูละครทีวี เปล่าประโยชน์ ยัดเข้ามาเพื่อยืดเวลาละครแท้ๆ”
โจวเจ๋อวางมือบนไหล่ของนักพรตเฒ่า กวัดแกว่งเล็บไปมาเบาๆ ความเย็นยะเยือกดูเหมือนจะแทรกซึมผ่านเข้ามาในร่างกายของนักพรตเฒ่าโดยตรง
นักพรตเฒ่าตกใจจนตัวโยน รีบนั่งตัวตรงทันที ไม่กล้าส่งเสียงอีกต่อไป และเริ่มกดย้อนวิดีโอกล้องวงจรปิดอย่างจริงจัง
“หยุดก่อน!”
โจวเจ๋อตะโกน
นักพรตเฒ่ากดหยุดในทันที
“ย้อนกลับไปอีกหน่อย”
นักพรตเฒ่าเริ่มกรอถอยหลัง เป็นไปตามคาด มีร่างในชุดสีแดงปรากฏอยู่ในภาพ คุณภาพของกล้องวงจรปิดไม่ค่อยดีนัก บวกกับเป็นช่วงเวลากลางคืนด้วย ดังนั้นรูปร่างของคนในภาพจึงมัวๆ เบลอๆ มองเห็นแค่เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีอะไรเท่านั้น
หาเจอจริงๆ หรือเนี่ย
นักพรตเฒ่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ภาพกำลังเล่นอย่างช้าๆ
คนที่ใส่ชุดแดงในภาพกำลังก้มลง ในมือถือสิ่งที่คล้ายกับมีดผ่าตัดสองด้ามกำลังงัดเปิดป้ายหลุมฝังศพ การเคลื่อนไหวนั้นคล่องแคล่ว รวดเร็ว เด็ดเดี่ยว และสะอาดหมดจด ไม่ช้าไปกว่าการใช้เล็บของโจวเจ๋อก่อนหน้านี้เลย
จากนั้นอีกฝ่ายก็หยิบกล่องใส่อัฐิออกมา ก่อนจะหยิบภาชนะที่เป็นแก้วแล้วเทอัฐิลงไป ต่อมาคล้ายกับว่าเอาอะไรโรยลงไปในกล่องใส่อัฐิ ถ้าไม่เกินจากที่คาดละก็น่าจะเป็นเม็ดพลาสติกเหล่านั้น
ชายคนนั้นวางขวดแก้วไว้ในอ้อมแขน แล้วหันหน้ามองมาทางกล้อง
เมื่อดูจากมุมมองของวิดีโอกล้องวงจรปิดแล้ว ก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายหันกล้องมาที่ตัวเองพอดีและสบตากับคนที่ดูวิดีโอ
อีกฝ่ายจงใจเอาหน้าเข้าไปใกล้กล้อง
โจวเจ๋อรู้สึกคุ้นเคยใบหน้านี้อย่างบอกไม่ถูก นี่เป็นใบหน้าของคนเอเชียตะวันออก ผิวพรรณขาวผ่อง
เขาเริ่มค้นหาข้อมูลของบุคคลนี้ในความทรงจำแสนวุ่นวายของตัวเอง แต่น่าเสียดาย ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเจ้าแม่ชิงอีบนดาดฟ้าในครั้งก่อน เป็นเพราะว่าเข้าสู่สภาวะนั้น ทำให้ในเวลานั้นเขาสูญเสียความทรงจำอย่างรุนแรง ผ่านไปสักพักก็ยังนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
“อาเมน!”
หลังจากอีกฝ่ายพูดคำพวกนี้ ก็หันหลังและจากไป พร้อมกับทิ้งรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยไว้เบื้องหลัง
เมื่ออีกฝ่ายพูดว่า ‘อาเมน’ ในตอนท้าย รูม่านตาโจวเจ๋อหดตัวลงทันที
ภาพความทรงจำเริ่มไหลย้อนกลับอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ปรากฏขึ้นในคฤหาสน์ที่รายล้อมไปด้วยดอกโหยวไช่ บาทหลวงคนนั้นยืนเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะอาหาร
เป็นเขา!
เขาขโมยอัฐิของตัวเองไป!
“เถ้าแก่ เจ้ารู้จักคนคนนี้หรือ” นักพรตเฒ่ารู้สึกแปลกเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของโจวเจ๋อ
“อืม”
เมื่อทั้งสองเดินออกจากสุสาน เวลาก็ล่วงเลยตีหนึ่งไปแล้ว โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาสวี่ชิงหล่าง ก่อน แต่สวี่ชิงหล่างน่าจะกำลังเมาอยู่ ไม่รับสายเลย
โจวเจ๋อทำได้เพียงโทรหาถังซือ
“ว่าไง”
“ช่วยผมปลุกสวี่ชิงหล่างที ใช้วิธีไหนก็ได้”
“โอเค”
ผ่านไปประมาณสามสิบวินาทีก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากปลายสาย
หลังจากนั้นสวี่ชิงหล่างก็รับโทรศัพท์ด้วยความโกรธแค้นเล็กน้อย และด่ากราดออกมาทันที
“คุณเป็นบ้าหรือไง ถึงได้บอกให้เธอปลุกผมตื่นน่ะ!”
“ขอเบอร์โทรศัพท์ผู้หญิงที่ให้เราเช่าร้านหน่อย”
“เฮอะ…” ถังซือหัวเราะ “ดูเหมือนว่าคุณคงจะค่อยๆ ชินกับมันแล้ว”
“ชินอะไร”
“ชินกับการใช้ชีวิตโดยปราศจากมโนธรรมน่ะสิ”
ถังซือลุกขึ้นยืน ดูเหมือนว่ากำลังจะขึ้นไปชั้นบน และในขณะเดียวกันก็เตือนว่า “คืนพรุ่งนี้ ดื่มชาด้วยกัน อย่าลืมล่ะ”
“ผมไม่มีอารมณ์”
ถังซือไม่สนใจและขึ้นไปชั้นบนต่อ
…
ในห้องเช่าแห่งหนึ่ง บาทหลวงนั่งอยู่บนโซฟา พร้อมรูปถ่ายและเอกสารบนโต๊ะน้ำชาตรงหน้า เขานั่งครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันก็พึมพำกับตัวเอง
ในเวลานี้ประตูถูกเปิดออก
หมอฝึกหัดเดินเข้ามา และเมื่อเขาเห็นบาทหลวงนั่งอยู่บนโซฟาบ้านตัวเองก็ตกใจ ตะโกนว่า
“คุณเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านผม!”
ในเวลาเดียวกัน หมอฝึกหัดก็ยื่นมือหยิบมือถือออกมา เตรียมโทรแจ้งตำรวจ เขารู้สึกว่ามีขโมยเข้ามาในบ้านของเขา
แต่เพียงพริบตาเดียวบาทหลวงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเขา มือข้างหนึ่งจับข้อมือของเขา มืออีกข้างหนึ่งจับเข้าที่คอของเขา
โทรศัพท์ร่วงลงบนพื้น
แต่คอกลับถูกบาทหลวงยกขึ้นมา
หมอฝึกหัดรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างรุนแรง
บาทหลวงยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหวและยังคงรักษาท่าทางเช่นนี้ต่อไป จนกระทั่งนัยน์ตาของหมอฝึกหัดเริ่มล่องลอย ใบหน้าของเขาจึงปรากฏความชั่วร้ายออกมา
“ทั้งๆ ที่เอาอัฐิของเขาออกมาให้แกกิน ทำไมแกถึงกลายเป็นเพียงตัวกินซากศพอย่างนี้ไปได้ ฉันจะเอาของพรรค์นี้มาทำห่าอะไร”
บาทหลวงเตะก้นหมอฝึกหัด หมอฝึกหัดล้มลงกับพื้น แล้วลุกขึ้นทันที น้ำลายหยดจากมุมปากของเขา
‘ตุ้บ’
ขาหมูดิบหนึ่งขา ถูกบาทหลวงเขวี้ยงลงบนพื้น
หมอฝึกหัดรีบวิ่งเข้าไปหยิบขาหมูมาไว้ในมือแล้วกัดกิน มุมปากของเขายังมีคราบเลือดของขาหมูเปื้อนอยู่ แต่มีความไม่พอใจฉายในแววตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเนื้อขาหมูไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้
บาทหลวงส่ายหน้าและกลับไปนั่งลงบนโซฟาอย่างช่วยไม่ได้
“ดูเหมือนว่าสาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นผีดิบไม่น่าจะใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตวิญญาณของเขา เป็นเพราะร่างนั้นได้รับฝากจิตวิญญาณของเขาไว้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง หลังจากที่คนธรรมดากินเข้าไปก็เกิดการกลายพันธุ์ แต่การกลายพันธุ์เหล่านี้ไม่มีนัยสำคัญ ไม่ต้องพูดถึงผีดิบหรอก แม้แต่ซอมบี้ก็ไม่ใช่ แค่มีงานอดิเรกที่น่ารักๆ เพิ่มเข้ามา นั่นก็คือ ‘กินซากศพ’”
บาทหลวงขยี้ฝ่ามือไปมา
“ถ้าสาเหตุไม่ใช่ร่างกาย สาเหตุมาจากวิญญาณของเขาเองอย่างนั้นหรือ ร่างของชาติที่แล้วไม่ใช่ร่างเดิมงั้นหรือ ดูผิวเผินการยืมซากศพคืนชีพของเขา ดูเหมือนจะเป็นการจัดฉากของยมทูตหญิง แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ลึกกว่านั้นหรือ”
บาทหลวงหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ
บนโต๊ะน้ำชาตรงหน้ามีรูปถ่ายในชาติก่อนของโจวเจ๋อ มีรูปถ่ายของสวีเล่อ และรูปถ่ายของน้องภรรยาวางอยู่ มีแม้กระทั่งรูปถ่ายของชายชราที่ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลในวันนั้นและใช้เล็บจิกโจวเจ๋อจนเป็นแผลด้วย
บาทหลวงหยิบมีดผ่าตัดออกมาตัดรูปถ่ายของชายชราและน้องภรรยาเป็นชิ้นๆ ทันที แล้วถอนหายใจยาว
“ต้องสืบใหม่อีกครั้งแล้วละ”
………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล