ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 190

ตอนที่ 190 สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้!

ร่างกายของโจวเจ๋อยังคงโซเซไปมาเล็กน้อย เหมือนคนแก่ที่ใกล้จะตาย และก็ยังดูเหมือนคนเมาสุรา ราวกับว่าเขาสามารถล้มลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ

แต่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา กลับมีความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรงแฝงอยู่

นินจาสาวพยายามเปิดม่านแสงสีฟ้า นางต้องการจะออกไปจากที่นี่ นางและสหายทั้งสามของนางทุ่มแรงกายแรงใจอย่างหนักเพื่อทำลายปราการที่เฉาติ่งทิ้งเอาไว้ แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายเหลือเกิน

นางหนีออกจากกรงเดิมมาอย่างยากลำบาก แต่แล้วต้องกลับเข้าไปในกรงที่ใหญ่และแข็งแรงยิ่งกว่า

โจวเจ๋อเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ร่างยังคงโซเซอยู่เล็กน้อย ขณะที่เขาเข้ามาใกล้ สีหน้าของนินจาสาวเริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ

นางไม่กล้าเคลื่อนไหวโจมตีโจวเจ๋อก่อน เช่นเดียวกับคนที่ไม่ทันระวังจนตกลงไปในกรงเสือ ปฏิกิริยาแรกต้องปีนออกจากกรงแทนที่จะสู้กับเสืออย่างคนโง่เขลาอยู่แล้ว

โจวเจ๋อเป็นเสือตัวนี้ที่อยู่ในกรงและเลือกคนมาขย้ำ

ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อยังนึกอยู่ว่าให้คนอื่นๆ ในร้านหนังสือทำงานหนักอยู่ข้างนอก เถ้าแก่อย่างเขากลับนั่งดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ แม้แต่บทบาทของเชียร์ลีดเดอร์ก็ยังเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ ไร้ประโยชน์หากจะพูดออกไป

กลับกัน ในตอนนี้มันไม่เลวเลย

โจวเจ๋อต้องขอบคุณหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าที่ให้โอกาสเขาได้ทำอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นหลังรอจนเขาออกไปจากโลกกระจกก็จะถูกพวกสวี่ชิงหล่างดูถูกเอาได้

“เราสามารถทำข้อตกลงกันได้”

เหยื่อทุกตัวเมื่อกำลังเผชิญหน้ากับความตาย ล้วนแต่พยายามหาโอกาสหนีรอดให้ตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่นินจาสาว

“ก่อนเจ้าตาย…ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง…”

โจวเจ๋อแสยะมุมปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ใช่

เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนที่พวกเจ้าถูกเฉาติ่งสังหาร ก็เป็นเพียงโจรสลัดญี่ปุ่นธรรมดา ไม่ว่าจะโหดร้ายป่าเถื่อนแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่คนธรรมดา

ในเมื่อเป็นคนธรรมดา และถูกปราบอยู่ที่นี่มาห้าร้อยปี แล้วเจ้ายังเอาอะไรมาดึงความสนใจจากข้าอีกล่ะ

นินจาสาวเผยสีหน้าวิงวอน

โจวเจ๋อเดินเข้ามาทีละก้าว

ในเวลานี้ ร่างของนินจาสาวหายวับไป และในพริบตาก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังโจวเจ๋อ ในมือของนางมีกริชสีดำอยู่หนึ่งเล่ม และแทงตรงไปที่คอของโจวเจ๋อ

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงในชั่วพริบตาเท่านั้น

‘ฉึก!’ กริชแทงเข้าไปแล้ว!

นินจาสาวเผยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง การลอบโจมตีของนางได้ผล!

เขาย่ามใจมาจนถึงขั้นนี้ นึกว่านางจะเสร็จเขาแล้วอย่างนั้นหรือ!

ในเวลานี้นินจาสาวนึกอยากหัวเราะ แต่ตอนนี้นางต้องยับยั้งอารมณ์ของตัวเองไว้ และเตรียมพร้อมหมุนมือพลิกกริช ใช้โอกาสนี้ตัดศีรษะของโจวเจ๋อทิ้งไปเสีย

แต่ได้ยินเพียงเสียงกล้ามเนื้อเสียดสีกัน ‘กึกๆ กึกๆ’

ไม่ว่านินจาสาวจะพยายามออกแรงแค่ไหน กลับไม่สามารถขยับกริชได้เลยแม้แต่น้อย เพราะกล้ามเนื้อและกระดูกของโจวเจ๋อทำเอากริชติดอยู่อย่างแน่นหนา ราวกับฝังมันเอาไว้ในร่างกายเสียอย่างนั้น

นินจาสาวหรี่ตาลง และเลือกที่จะถอยร่างกลับทันที

‘พลั่ก!’

ได้ยินเพียงเสียงที่คมชัด

โจวเจ๋อหันหน้ากลับมา จากนั้นนินจาสาวรู้สึกเพียงแค่ว่าทั้งร่างของนางลอยขึ้น และมีแต่เสียงลมลอยเข้าหูของนาง มันเป็นความเร็วที่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังอย่างหนึ่ง

‘โครม!’

โจวเจ๋อคว้าคอของนินจาสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว และกดลงกับพื้น ขณะเดียวกันก็ลากไปเกือบหนึ่งร้อยเมตร!

“เอ่อ…”

เสียงกระซิบแผ่วเบาเปล่งออกมาจากลำคอโจวเจ๋อ คล้ายกับการสวดมนต์ก่อนรับประทานอาหาร ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหารอันอุดมสมบูรณ์ให้แก่ข้า

ร่างของนินจาสาวกำลังสั่นเทา นี่ไม่ใช่การสั่นเทาในการเผชิญหน้ากับศัตรู แม้ว่าจะเป็นห้าร้อยปีก่อนที่นางมาถึงชายฝั่งประเทศจีนในฐานะนินจาสาวพร้อมกับคนอื่นๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะพบเจอเจ้าหน้าที่ทหารยศใหญ่หรือจะเป็นเฉาติ่งในตอนท้าย ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ในสงคราม นางก็ไม่เคยเกรงกลัวมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางมีประสบการณ์ทางด้านจิตวิทยามากกว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนด้วยซ้ำ

แต่ในเวลานี้ นางเกิดความรู้สึกหวาดกลัวจากเบื้องลึกของจิตวิญญาณจริงๆ เพราะนางรู้สึกว่านางไม่ได้เผชิญหน้ากับคนคนหนึ่ง แต่กำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าในห่วงโซ่อาหาร

ราวกับว่าตัวเองเดิมทีแล้วเป็นอาหารของเขา ความรู้สึกกดดันอย่างนี้ คล้ายกันกับม้าลายตัวหนึ่งกำลังหลงทางอยู่ และได้พบเข้ากับสิงโตตัวหนึ่ง

เล็บในมือของโจวเจ๋อแทงเข้าไปที่คอของนินจาสาว ในขณะเดียวกันมวลหมอกสีดำรอบๆ ตัวก็เริ่มบีบอัดตัวลงในชั่วพริบตา

รอบๆ ทิศมีเสียงเครื่องคั้นน้ำผลไม้ดังออกมา ซึ่งในความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ง่ายดาย

เรียบง่าย

ป่าเถื่อน

ทำให้คนประหลาดใจ

ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนรู้สึกตื่นตระหนกตกใจจนไม่กล้ามองตรงๆ

เปลวควันจางๆ พวยพุ่งขึ้นมา โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นและสูดหายใจเข้าลึกๆ

ควันลอยเข้าจมูก นำมาซึ่งความเพลิดเพลินสุดยอดอย่างหนึ่ง เหมือนกับหญิงชราที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติกำลังสูบมอระกู่อยู่

ปลายลิ้นแตะเพดานปาก เลียริมฝีปาก จากนั้นร่างกายก็สั่นไหวเล็กน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้มันช่างสุขสม

การมีอยู่ของวิญญาณ แม้ว่านางจะมีตัวตนมาเป็นเวลาห้าร้อยปี แถมยังมีประสบการณ์การร่วมมือและการเปลี่ยนแปลงที่พิเศษกับบาทหลวง แต่ในสายตาของโจวเจ๋อในตอนนี้ มันก็แค่ควันยาสูบไม่ใช่หรือ

โจวเจ๋อหายใจออกช้าๆ และนั่งลงอย่างเชื่องช้า

เขาเอื้อมมือไปวางตรงหน้าผากของตัวเองเบาๆ เหมือนกับคนแก่ที่กินอาหารอิ่มแล้ว เตรียมตัวอาบแดดและงีบหลับ

เมื่อเวลาผ่านไปราวๆ สิบห้านาที โจวเจ๋อเอามือลง ในดวงตาของเขายังคงมีแสงสีเขียวประหลาดๆ สาดส่องอยู่

แต่สีหน้าของเขากลับดูแปลกไปเล็กน้อย

เป็นความสงสัย

เป็นความงุนงง

เป็นความตื่นตระหนก

อารมณ์แบบนี้ปรากฏขึ้นกับตัวเขา มันดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย หลังจากที่เขาฆ่าเจ้าแม่ชิงอีในตอนแรก แล้วก็ฆ่าบาทหลวงชาวญี่ปุ่น จากนั้นฆ่ายมทูตที่มีปัญหาที่ครอบงำร่างของน้องภรรยาตระกูลหลิน และเมื่อผ่านไปเมืองเหยียนเฉิงก็ฆ่าตัดตอนยมทูตอีกสองตนในคราวเดียว

ราวกับว่าเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น มักจะหมายความว่าไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไร เรื่องราวล้วนถึงเวลาสิ้นสุดลง

แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกสับสนเข้าแล้วจริงๆ

“ทำไม…กลับไปไม่ได้หรือ”

โจวเจ๋อพึมพำกับตัวเอง เหมือนกำลังขบคิดปัญหานี้อยู่ แต่เขาในเวลานี้ อันที่จริงไม่ชำนาญในการขบคิดสักเท่าไร เหมือนคนที่กำลังนอนหลับสนิทแล้วตื่นขึ้นกลางทาง สติไม่แจ่มชัดอยู่ในอาการสะลึมสะลือขณะลุกออกจากเตียง หากระโถน รูดซิปเป้ากางเกง เปิดหัวก๊อกน้ำฉี่ออกมา จากนั้นกลับไปนอนต่ออีกครั้ง

วันรุ่งขึ้นอาจจะมีคนถาม และตัวเขาเองก็อาจจะไม่แน่ใจว่าเคยลุกไปฉี่หรือเปล่าด้วยซ้ำ

โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้น สายตาฉายแววหวาดกลัว

เขาเหยียดนิ้วมือออกและชี้ไปที่ท้องฟ้า

ทันใดนั้นก็กำหมัดแน่นและกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง

เขาเข้าใจแล้ว

“ครั้งนี้เป็นจิตสำนึก…ร่างไม่อยู่…แย่แล้ว…ร่างกายรับไม่ไหวแล้ว…”

“ดังนั้น ทุกครั้งที่เถ้าแก่ของพวกเจ้า ‘แอบใช้วิชา’ ก็จะกลายเป็นแบบนี้หรือ”

สาวน้อยโลลิจ้องร่างโจวเจ๋อและถามอย่างแปลกใจ

“อืม ทำเป็นปกติน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

เห็นได้ชัดว่าไป๋อิงอิงดูสงบมาก ทุกครั้งที่เถ้าแก่ ‘แอบใช้วิชา’ ร่างกายก็จะเกิดปัญหาขึ้น แล้วก็จะเป็นอัมพาตไปครึ่งเดือน ไป๋อิงอิงชินกับมันแล้ว

อีกอย่าง ที่จริงไป๋อิงอิงค่อนข้างชอบตอนที่เถ้าแก่เป็นอัมพาต เพราะนางสามารถดูแลเขาในทุกๆ ด้าน รวมไปถึงอาบน้ำให้เขาด้วย เถ้าแก่ในตอนนั้นน่ะน่ารักที่สุดแล้ว และก็เป็นตอนที่เขาต้องการนางมากที่สุดอีกด้วย

“แค่กๆ…”

สวี่ชิงหล่างไออยู่ข้างๆ ในขณะเดียวกันก็หยิบผ้าขนหนูเปียกหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้นักพรตเฒ่า นักพรตเฒ่ายังหมดสติอยู่ ยังไม่ฟื้น

สาวน้อยโลลิจ้องโจวเจ๋ออย่างพินิจพิเคราะห์ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจวเจ๋อในความฝัน แต่การเปลี่ยนแปลงของร่างกายโจวเจ๋อในเวลานี้ มันก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของเธออย่างมากแล้ว

หลังจากผ่านไปสิบห้านาที สาวน้อยโลลิชี้ไปที่แขนขวาของโจวเจ๋อแล้วถามขึ้น “นี่ก็เป็นเรื่องปกติหรือ”

“เรื่องปกติ” ไป๋อิงอิงพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น

บาดแผลมากมายที่เกิดขึ้นบนตัวของเถ้าแก่ มันเป็นอาการของการใช้กำลังเกินขีดจำกัด

“เจ้าแน่ใจหรือ”

สาวน้อยโลลิชี้ไปที่แขนขวาของโจวเจ๋อแล้วพูดขึ้น

กระดูกตรงนั้นโผล่ออกมา เนื้อเปิดออก ในขณะเดียวกันกระดูกที่โผล่ออกมาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ มันเป็นสัญญาณของศพที่เสียหาย หมายความว่าสารอาหารในกระดูกสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว กำลังจะหวนคืนสู่เถ้าธุลี

เพลงนั้นมันร้องอย่างไรแล้วนะ

‘แปรเปลี่ยนเป็นดินในฤดูใบไม้ผลิ ดูแลปกป้องแผ่นดิน…’

สาวน้อยโลลิไม่สงสัยเลยว่าถ้าโจวเจ๋อถูกโยนออกไปในลานบ้านเวลานี้ เมื่อมาเยี่ยมหลุมศพในปีหน้า ก็น่าจะมีพืชพรรณเขียวชอุ่มเติบโตอยู่ตรงนั้นแล้วละ

ดูเหมือนว่านางจะสามารถปลูกต้นอ่อนผีผา[1]ได้ อย่างนั้นอีกหน่อยนางก็จะสามารถเขียนไดอารี่ได้ว่า ‘มีต้นผีผาตั้งอยู่ในลานบ้าน หลังผู้จับกุมดับสิ้นข้าพเจ้าได้ปลูกเอาไว้กับมือ จนบัดนี้สูงเทียมศาลากำบัง’

เมื่อหันไปมองไป๋อิงอิงที่ดูไม่ได้จริงจังอะไรสักเท่าไร

สาวน้อยโลลิก็สงสัยว่านางคิดมากไปเองหรืออย่างไร หรือพลังชีวิตของโจวเจ๋อนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ ฟังดูเหมือนว่าจะเคยเป็นอย่างนี้บ่อยๆ

แต่ที่พิเศษกว่านั้นก็คือ ในจังหวะที่กำลังจะกลายเป็นเถ้าถ่านยังสามารถฟื้นคืนสภาพได้อีก

แม้ว่าทุกคนต่างก็เป็นยมทูต แต่คุณก็ต้องอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์หน่อยดีไหม

ดังนั้น สาวน้อยโลลิจึงเดินไปข้างๆ ไป๋อิงอิง ยื่นมือที่บอบบางของตัวเองออกไปคว้าใบหน้าของไป๋อิงอิง จับใบหน้าของนางเข้าไปใกล้ตำแหน่งกระดูกแขนขาวสลับดำของโจวเจ๋อ

“ข้าจะดึงดันเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นอย่างนี้แล้วยังสามารถฟื้นตัวกลับมามีชีวิตและดิ้นได้เหมือนตอนแรกละก็ ข้าจะยกน้ำชา เอาน้ำมาล้างเท้า และอุ่นเตียงให้เขาตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!”

ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้แล้วยังสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ดังเดิม

ผู้จับกุมอย่างนี้ พี่ใหญ่อย่างนี้

นางถูกบังคับจูงจมูกให้ยอมรับเขาอย่างนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

จู่ๆ ร่างของไป๋อิงอิงก็รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต จากนั้นก็อ้าปาก

นางยื่นมือไปสัมผัสกระดูกที่โผล่ออกมาของเถ้าแก่โดยไม่รู้ตัว

‘ผลุบ!’

กระดูกกลับจมลงไปจริงๆ

“กรี๊ดดด!!!!!!!”

ไป๋อิงอิงเริ่มกรีดร้องขึ้นมา

สวี่ชิงหล่างที่ยังคงเช็ดหน้าให้นักพรตเฒ่าอยู่อีกฝั่งตกใจ ใบหน้าซีดเผือดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากและพ่นลงบนหน้านักพรตเฒ่า

แม่งเอ๊ย ตกใจจนกระอักเลือดออกมาจริงๆ แล้ว!

ความรู้สึกตอนที่ผีดิบตัวหนึ่งจู่ๆ ก็กรีดร้องออกมาข้างหลังเขานั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทนได้

“เถ้าแก่ เถ้าแก่!”

ไป๋อิงอิงคุกเข่าข้างโจวเจ๋อและแหกปากตะโกนเสียงดัง แต่นางไม่กล้าสัมผัสโจวเจ๋ออีก กลัวว่าถ้าไปสัมผัสตรงไหนของโจวเจ๋อ ตรงนั้นก็จะพังยุบไปเลย

สาวน้อยโลลิถอนหายใจโล่งอก การยืนหยัดของนางนั้นทำถูกแล้ว

แบบนี้มันถึงจะเป็นเรื่องปกติ แม้จะเป็นผู้พิพากษาก็ไม่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้

จากนั้น สาวน้อยโลลิก็เอียงหัวจ้องโจวเจ๋อ นิ้วไขว้กันเบาๆ รู้สึกสับสนนิดหน่อย

นางกำลังคิดว่า หากโจวเจ๋อหลับใหลอยู่ในความฝันโดยไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดอย่างนี้ ดูเหมือนว่านางก็จะไม่เสียเปรียบ

ไม่เสียเปรียบ ไม่ขาดทุน

ไม่เสียอะไรเลยจริงๆ

………………………………………………

[1] ต้นผีผา หรือต้นโลควอท เป็นไม้ยืนต้น เป็นทรงพุ่มขนาดกลาง ผลมีลักษณะทรงกลม หรือรูปไข่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล