ตอนที่ 199 กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
ดอกพลับพลึงแดงบานสะพรั่งอยู่ริมทางน้ำพุเหลือง ส่งกลิ่นหอมเย็นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คอยอยู่เป็นเพื่อนวิญญาณระหว่างทาง เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ประดับประดาอยู่ในยมโลก
มันเป็นผลผลิตที่โดดเด่นเฉพาะตัวของยมโลก ไม่เหมือนกับ ‘ส้มที่ปลูกในไหวหนานเรียกว่าจวี๋ ส้มที่โตในไหวเป่ยเรียกว่าจื่อ’ เจ้าสิ่งนี้ไม่สามารถเติบโตในโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้ มันถูกคนย้ายมาปลูกที่นี่ ถึงแม้ที่นี่จะมีสภาพแวดล้อมที่พิเศษและเป็นพื้นที่ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นโลกมนุษย์
แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับ ‘ดอกไม้ป่า’ ที่อยู่ริมทาง สิ่งที่เถ้าแก่โจวสนใจยิ่งกว่าคือ ‘ผลงาน’ ของตัวเองที่อยู่ตรงหน้าเพียงแต่ตอนที่โจวเจ๋อเดินเข้าไปตรวจสอบวิญญาณเหล่านั้น เขาพบว่าร่างวิญญาณเหล่านี้เบาบางเป็นอย่างมาก อีกทั้งแววตายังเหม่อลอย เหมือนคนที่เป็นโรคประสาทฮิสทีเรีย
วิญญาณมีระยะการเก็บรักษาเหมือนกัน แต่ระยะการเก็บรักษาที่ว่านี้ไม่ใช่เวลา ยกตัวอย่างเช่น วิญญาณที่กลายเป็นผีร้ายถึงแม้ตอนท้ายจะทำความปรารถนาสำเร็จ แต่เขาก็ต้องสลายไปตามสายลม สูญเสียโอกาสลงนรกเพื่อกลับไปเกิดใหม่
ส่วนวิญญาณที่อยู่ที่นี่ ถึงแม้จะไม่ได้กลายเป็นผีร้าย แต่พวกเขาได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว เหลือเพียงกลุ่มพลังงานที่เป็นร่างวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่นับว่าเป็นวิญญาณได้ด้วยซ้ำไป
‘ผี’ แบบนี้ ลงนรกนรกยังไม่ต้องการ แม้ว่าโจวเจ๋อจะบังคับส่งพวกเขาลงไป แต่ก็ทำผลงานไม่ได้เลยสักนิดเดียวสิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกเข็ดฟันชะมัด ผลงานที่ส่งลงไปกลับสูญเปล่า
สาวน้อยโลลิยืนอยู่ข้างๆ โน้มตัวพิจารณามองอย่างละเอียดแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องปกติ ดอกพลับพลึงแดงเป็นดอกไม้ชนิดพิเศษที่เติบโตและหล่อเลี้ยงโดยการดูดซับไอวิญญาณของผู้ตาย ริมทางน้ำพุเหลืองแน่นอนว่าพวกมันสามารถเติบโตได้ เพราะริมทางน้ำพุเหลืองมีคนตายเดินผ่านตั้งมากมายขนาดนั้น แค่ทุกคนมีเส้นผมร่วงเพียงหนึ่งเส้น ก็สามารถหล่อเลี้ยงดอกพลับพลึงแดงได้มากพอแล้ว
แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน ดอกพลับพลึงแดงที่สามารถเติบโตที่นี่ได้ ล้วนอาศัยการถวายบูชาด้วยดวงวิญญาณนับสิบทั้งวันทั้งคืน เหมือนกับเครื่องคั้นน้ำผลไม้รูปคน พวกเขาถูกคั้นจนแห้งไปนานแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะอยู่ในพื้นที่ที่พิเศษแบบนี้ หากปล่อยให้พวกเขากลับไปโดนแสงแดด พวกเขาจะสลายกลายเป็นควันอย่างแน่นอน”
“ใครเป็นคนทำ” โจวเจ๋อถาม
“ข้าก็ไม่รู้ แต่คนหรือกลุ่มคนที่สามารถทำแบบนี้ได้ ไม่ใช่คนที่พวกเราสามารถแตะต้องได้ สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือ รายงานเรื่องนี้แก่เบื้องบน”
สาวน้อยโลลิอยากจะยื่นมือตบไหล่ของโจวเจ๋อ แต่เธอเตี้ยเกินไป ตบไม่ถึง และโจวเจ๋อก็ไม่ได้เป็นเพียงของเล่นที่อยู่ในมือของเธอเหมือนในตอนแรก ที่สามารถให้โจวเจ๋ออุ้มขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ตบเล่น ดังนั้นเธอจึงปรับตัวไม่ค่อยถูกอย่างเห็นได้ชัด
โจวเจ๋อยื่นมือลูบศีรษะของสาวน้อยโลลิ หลังจากท่าลูบศีรษะพิฆาตผ่านไปแล้ว สาวน้อยโลลิจึงกัดปาก ไอ้หมอนี่คิดแต่จะแก้แค้นตัวเองในเรื่องที่เคยทำกับเขาไว้ในตอนแรก และเพื่อย้ำเตือนเธอว่าตำแหน่งของทั้งสองฝ่ายเกิดการเปลี่ยนแปลงนานแล้ว
“พูดจาครึ่งๆ กลางๆ ไม่ใช่นิสัยที่ดี” โจวเจ๋อเอ่ย
“รายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบ ก็จะได้รางวัลเหมือนกัน และรางวัลนี้ ก็ถูกคิดเข้าไปในผลงานด้วย ไม่ว่าอย่างไรน่าจะได้ผลงานไม่น้อยกว่าการส่งวิญญาณพวกนี้ลงนรก”
“น่าจะพูดตั้งนานแล้ว” โจวเจ๋ออารมณ์ดีขึ้นมาทันที แต่ไม่ช้าโจวเจ๋อก็นึกได้อีกเรื่องหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เรื่องที่เมืองหรงเฉิงครั้งที่แล้ว พวกคุณไม่ได้รายงานใช่ไหม”
คนนั้นที่เมืองหรงเฉิงยังมีชีวิตอยู่ และกระโดดโลดเต้นได้สบาย ครั้งที่แล้วยังมานอนหลับอยู่ในร้านหนังสือของตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วทำสมุดยมทูตหล่นต่อหน้าตัวเอง จากนั้นก็ไม่มีเรื่องราวต่อจากนั้นแล้วเหรอ
“กรณีของเขามีความพิเศษเล็กน้อย ตอนนั้นเบื้องบนมีความเห็นต่างสำหรับการจัดการเรื่องนี้ และไม่ได้มีคำสั่งการที่ชัดเจน พวกเราได้รับคำสั่งแบบส่วนตัวให้ร่วมมือกันจัดการเขา ดังนั้นเมื่อภารกิจล้มเหลว ก็คือล้มเหลว ขอเพียงเขาไม่ก่อเรื่องอีก เรื่องนี้ก็อาจจะจบแบบเงียบๆ” สาวน้อยโลลิกล่าว
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” โจวเจ๋อยื่นมือลูบศีรษะของสาวน้อยโลลิ โดยไม่สนสาวน้อยโลลิที่ทำปากจู๋ กระทั่งใช้นิ้ววาดผ่านปากเล็กของเธอเล็กน้อย เหมือนกำลังแกล้งหลานสาวของตัวเอง
แต่พูดตามจริง สาวน้อยโลลินี่รุ่นหลานของโจวเจ๋อจริงๆ
“ในนรกก็มีการแก่งแย่งอำนาจกัน ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวเหรอ” โจวเจ๋อเดิมทีคิดว่านรกก็เหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
สาวน้อยโลลิสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอมองโจวเจ๋อ ทันใดนั้นก็อยากหัวเราะมาก เพราะเธอรู้ดีว่าโจวเจ๋อถือสมุดยมทูตของใคร และเจ้าของสมุดยมทูตคนนี้ ก็คือคนที่ถูกพระพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เอาเปรียบ ทำให้ต้องสูญเสียสำนักงานราชการไท่ซานของตัวเองไป สุดท้ายจึงมีจุดจบที่น่าเศร้า
“เจ้าคิดว่าคนกับผีแตกต่างกันมากแค่ไหน”
สาวน้อยโลลิไม่ได้พูดถึงเรื่องของไท่ซานฝู่จวินมากเท่าไร เพราะของบางอย่างหรือเรื่องบางเรื่อง มาจากฝีมือของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ไท่ซานฝู่จวินจะแตกดับไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาสร้างเอาไว้ไม่ใช่เรื่องที่ยมทูตตัวเล็กๆ อย่างตัวเองจะก้าวก่ายได้
“อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ แล้วดอกพลับพลึงแดงพวกนี้จะทำยังไง เก็บเอาไว้เหรอ” โจวเจ๋อถาม
“เอาส่งไปที่นรก ของพวกนี้อยู่ในนรกเป็นดอกไม้สำหรับชื่นชม แต่ถ้าตกอยู่ในโลกมนุษย์จะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าต้นฝิ่น มันส่งผลกระทบที่น่ากลัวให้กับมนุษย์ยิ่งกว่า”
โจวเจ๋อพยักหน้า แล้วเดินกลับไปที่ตำแหน่งเดิม จากนั้นชี้นิ้วไปที่เม่นที่อยู่ใต้เท้าตัวนั้นแล้วพูดว่า “แบบนี้นับว่าเป็นปีศาจไหม”
โจวเจ๋อเพิ่งเคยเจอปีศาจเป็นครั้งแรก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา โจวเจ๋อเจอแต่ผีเป็นส่วนใหญ่ พวกปีศาจแทบจะไม่เคยเห็นเลย ทว่าการปรากฏตัวของปีศาจตนนี้แย่เกินไป พอๆ กับพวกทหารปีศาจตัวน้อยในการ์ตูนเรื่อง ‘พี่น้องน้ำเต้า’ ที่เคยดูตอนเด็ก ไม่มีกำลังสู้รบอะไร
“แบบนี้ไม่นับว่าเป็นปีศาจ อีกสักพักขุดสุสานนี้ก็รู้แล้ว” สาวน้อยโลลิส่ายหน้า
จากนั้นทั้งสามคนจึงเดินออกจากหอนางโลมแห่งนี้ เดินกลับไปทางเดิม หลังจากโจวเจ๋อเดินออกไปยังต้องโน้มตัวแล้วจึงหลับตา ปรับลมหายใจตัวเองให้กลับมาดังเดิม จนถึงตอนที่ลืมตาอีกครั้ง ซุ้มประตูจีนที่แขวนโคมไฟโดยรอบที่เข้าไปก่อนหน้านั้นพลันมลายหายไปแล้ว เหลือเพียงป้ายของหลุมฝังศพที่อยู่ตรงนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล