ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 203

ตอนที่ 203 สถานที่พิเศษ

ความเข้าใจผิดที่ลุงตำรวจมีต่อตัวเองถูกสะสมไว้เยอะมากแค่ไหนกันแน่ เถ้าแก่โจวไม่รู้ตัวเลย เขาไม่ได้มีทักษะความรู้เรื่องการสอดแนม ชาติที่แล้วหลังจากเดินออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ขยันทำงานเพื่อชีวิตของตัวเอง ไม่เคยเข้าห้องขังเลยทั้งชีวิต แต่ชาตินี้กลับเข้ามาแล้วสองครั้ง ครั้งที่แล้วตอนที่ตัวเองเพิ่งจะยืมซากศพคืนชีพ และหมอหลินก็เป็นคนมารับตัวเองออกไป

จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองยังคุยกับหนุ่มที่อยู่ข้างๆ พูดถึงหน้าตาผู้หญิงคนนั้นว่าพอไปวัดไปวาได้ และอย่างอื่นอีกมากมาย รอจนกระทั่งคุณตำรวจพาหมอหลินมาพูดตรงหน้าโจวเจ๋อว่าภรรยาของคุณมารับคุณกลับแล้ว โจวเจ๋อถึงได้ทำสีหน้างงมาก

โจวเจ๋อนั่งบนแผ่นเหล็ก ข้างล่างรู้สึกเย็นพอสมควร แต่โจวเจ๋อไม่กลัวหนาว เวลานี้โจวเจ๋อเพิ่งสังเกตว่า ดูเหมือนมีแค่ตัวเองกับนักพรตเฒ่าเท่านั้นที่ถูกขังอยู่ด้วยกัน เหล่าสวี่ไม่ได้ถูกขังอยู่ที่นี่ นี่คือการประสบภัยที่ไม่มีเค้ามาก่อนอย่างแท้จริง ต้นเหตุและเรื่องราวล้วนเป็นเรื่องตลกที่ทำให้คนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เวลานี้ประตูห้องขังถูกเปิดออก ตำรวจสองคนเข็นรถอาหารเข้ามา ในนั้นเป็นข้าวกล่องหนึ่งเซ็ตสำหรับผู้ต้องขังแต่ละราย กับน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวด คุณภาพของข้าวกล่องถือว่าไม่เลว เนื้อสองอย่าง ผักสองอย่าง ลุงตำรวจยังถามอีกว่าข้าวพอไหม ถ้าไม่พอสามารถเพิ่มข้าวเปล่าได้ต่างหาก

นักพรตเฒ่าขอข้าวเพิ่มมาสองกล่อง นั่งกินอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข โจวเจ๋อเปิดกล่องข้าว หยิบตะเกียบขึ้นคีบเนื้อกินสองสามชิ้น แต่เขาไม่หิวเลยจริงๆ ของที่จะทำขึ้นจากดอกพลับพลึงแดงยังไม่ได้ทำออกมา น้ำบ๊วยอะไรนั่นก็ไม่ได้พกมาอีก ให้โจวเจ๋อกินข้าวในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้เขาลำบากใจจริงๆ

ทางตำรวจได้สังเกตเห็นฉากนี้ จึงพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย “เลือกกินขนาดนี้เชียว”

โจวเจ๋อหันไปมองเขาหนึ่งที แต่ไม่พูดอะไร วางตะเกียบลง เปิดขวดน้ำเปล่า แล้วดื่มสองสามที เวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างราบเรียบ นักพรตเฒ่าอยากจะคุยเล่นกับเถ้าแก่ กลัวเถ้าแก่เบื่อ แต่เมื่อเห็นเถ้าแก่ไม่อยากคุยด้วย เขาจึงพิงรั้วกรงขังแล้วเริ่มนอนกรน

ด้วยประสบการณ์ชีวิตของนักพรตเฒ่า ที่เดินเข้าห้องขังไม่ต่างจากบ้านของตัวเอง เขาคุ้นชินกับมันเป็นอย่างมากในนี้มีข้าวให้กินมีน้ำให้ดื่มแถมยังนอนหลับสบาย และพี่ชายที่นี่ก็พูดจาดี เขาจึงชอบที่นี่เป็นอย่างมาก

เถ้าแก่โจวกลับนั่งพิงกำแพง นั่งเหม่อลอยโดยไม่รู้สึกเศร้าหรือรู้สึกเลื่อนลอยอะไร อย่างมากก็แค่เปลี่ยนตำแหน่งจากนั่งที่โซฟาในร้านหนังสือมาเป็นที่นี่เท่านั้น ถือเสียว่าสัมผัสประสบการณ์คนว่างงานอีกรูปแบบหนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะว่างงานมากขนาดไหน พอถึงตอนเย็น เถ้าแก่โจวก็นั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว เวลาพักผ่อนของเขาเป็นระเบียบมาก เวลานี้ควรจะนอนหลับแล้ว แต่ไม่มีไป๋อิงอิงอยู่ข้างกาย และไม่มีตู้แช่เย็นอยู่ที่นี่ เขาจึงนอนไม่หลับ

ตำรวจสองคนที่อยู่ไกลๆ ได้เปลี่ยนเวรแล้ว ตำรวจสองคนที่มาใหม่คนหนึ่งคอยตรวจลาดตระเวนไม่หยุด อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังอ่านหนังสืออะไร

นักพรตเฒ่ายังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่ที่นั่น ดูเหมือนจะมองที่นี่เป็นบ้านของตัวเองนอนหลับสบายเชียว โจวเจ๋อพลันนึกถึงหนังสือเรื่องเคานต์แห่งมอนเต กรีสโต จำได้ว่าในเรื่องเคานต์แห่งมอนเต กรีสโตดูเหมือนจะอาศัยการขุดดินหนีออกจากคุก ถึงแม้ว่าโจวเจ๋อจะไม่มีอุปกรณ์ใดๆ อยู่ข้างกาย แต่ดูเหมือนว่าเล็บของตัวเองจะสามารถขุดได้เช่นกัน

แต่เทียบกับการขุดดินสู้ใช้เล็บของตัวเองสะเดาะกุญแจไม่ดีกว่าเหรอ จากนั้นตำรวจสองคนนั้น ดูเหมือนว่าตัวเองก็สามารถ…

เกราะซามูไรของตัวเองน่าจะป้องกันกระสุนได้ใช่ไหม

ตอนที่เถ้าแก่โจวกำลังใช้ความคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง ‘ครืดๆๆ…ครืดๆๆ..’ ดังข้างหู เสียงนี้เหมือนเสียงโซ่เหล็กที่ลากอยู่บนพื้น มีความชัดเจนและหนักอยู่บ้าง โจวเจ๋อรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ยุคนี้ยังมีคนใช้โซ่ตรวนอีกเหรอ ไม่น่าจะถึงขนาดนั้นมั้ง

เมื่อมองไปหน้าประตู พบว่าไม่มีคนถูกจับมาขัง แต่เสียง ‘ครืดๆๆ’ กลับดังอยู่ข้างหูไม่หยุด และยิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ตำรวจสองคนนั้น รวมทั้งเพื่อนร่วมห้องขังคนอื่นๆ และนักพรตเฒ่าก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ เลยสักนิด โจวเจ๋อเจ๋ออ้าปากแล้วหาวหนึ่งที เขาเข้าใจแล้ว เสียงนี้บางทีคงมีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน และเสียงที่ตัวเองได้ยินคนเดียวหมายถึงอะไร จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ

แต่สิ่งที่โจวเจ๋อแปลกใจคือ ในสถานีตำรวจกลับมีสิ่งแบบนี้อยู่ ในหนังสือการเมืองการปกครองของชั้นมัธยมได้เขียนไว้อย่างชัดเจน ตำรวจเป็นหน่วยงานความรุนแรงของประเทศที่สามารถติดอาวุธตามกฎหมายของประเทศได้ เป็นกลไกของประเทศที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าคิดละเมิด

นี่จึงเป็นสาเหตุที่โจวเจ๋อไม่บุ่มบ่ามยอมให้ตำรวจจับมาสอบสวนแต่โดยดี อย่างแรกคือเขาไม่อยากทำลายชีวิตที่อยู่ในร้านหนังสือของตัวเอง อย่างที่สองคือการปะทะกับตำรวจเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย ถึงแม้เขาจะเป็นยมทูตก็ตาม

และด้วยเหตุนี้ เมื่อที่นี่มีสิ่งสกปรกปรากฏขึ้น โจวเจ๋อจึงรู้สึกแปลกใจ ‘ครืดๆๆ…ครืดๆๆ…’ เสียงดังใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ แต่ยังไม่ปรากฏตัว โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กหนุ่มที่ซื้อตั๋วเข้ามาดูระบำเปลื้องผ้า รอนักแสดงบนเวทีถอดเสื้อผ้าสองชิ้นในจุดที่สำคัญออกอย่างใจจดใจจ่อ แต่มันก็ทำให้คุณคันหัวใจยุบยิบ ปล่อยให้คุณรออยู่ข้างนอกไม่ยอมให้คุณเข้ามาเสียที จงใจให้คุณสงสัยเล่น

เถ้าแก่โจวตอนนี้เกิดอารมณ์หุนหันพลันแล่นอยากจะสะเดาะกุญแจผลักประตูออกไปดูตรงทางเดิน ดูว่าไอ้หน้าไหนที่กล้ามาก่อกวนที่นี่

ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามา มองโจวเจ๋อที่จับรั้วกรงขังด้วยสองมือพลางมองออกไปข้างนอก แล้วถอนหายใจพูดว่า “ถ้าสารภาพโทษหนักจะกลายเป็นเบา หากขัดขืนจะโดนโทษหนัก สารภาพเรื่องที่ควรพูดก็จะได้ออกไป อย่างน้อยก็จะได้สบายใจไม่ใช่เหรอ”

โจวเจ๋อไม่สนใจเขาเลยสักนิด แล้วมองไปทางนั้นต่อไป “นี่ ผมพูดกับคุณอยู่ คุณก็อายุไม่น้อยแล้ว น่าจะอายุพอๆกับลูกชายของผม”

“…” โจวเจ๋อ

ครั้งนี้โจวเจ๋อหันกลับมา แล้วมองลุงตำรวจคนนี้ “พี่ชาย คุณไม่เหมาะสมที่จะสอนวิชาการปกครอง”

“อืม ไม่เป็นไร พวกเราคุยอะไรกันก็ได้”

ตำรวจนั่งลงโดยตรง นั่งตรงรั้วกั้นของกรงขัง ท่าทางเหมือนทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก แต่ความสนใจส่วนใหญ่ของโจวเจ๋อกลับถูกดึงดูดจากเสียงของโซ่ตรวนทางนั้น เวลานี้จึงไม่มีกะจิตกะใจจะพูดกับตำรวจคนนี้

และลุงคนนี้ก็ไม่จริงใจเอาสียเลย ตอนที่โจวเจ๋อได้สังเกตเขาในแวบแรก เขามีกลิ่นอายของความยุติธรรมอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะตราประทับที่อยู่บนหมวกตำรวจของเขา ในสายตาอของโจวเจ๋อเหมือนกำลังส่องแสงเปล่งประกายอยู่

ตำรวจแบบนี้กลับตกต่ำลงมาเป็นคนเฝ้าห้องขังเหรอ โจวเจ๋อไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่า คนที่ถูกสุ่มเลือกให้มาเฝ้าห้องขังในสถานีตำรวจล้วนเป็นพระกวาดพื้นที่ซ่อนความเก่งกาจทั้งหมดเอาไว้

“นี่ คุณสารภาพมาเถอะ เรื่องของคุณ ผมได้ยินมาแล้ว ผมรู้ คุณแต่งงานแล้ว คุณก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองดังนั้น เหตุการณ์ครั้งนี้พวกเราจะไม่แจ้งภรรยาของคุณ บางทีคุณเองก็อาจจะถูกปิดหูปิดตา แต่ในความเป็นจริงคนที่ผลิตยาเสพติดอย่างพวกคุณ มีหลายคนเป็นเครื่องมือขององค์กรค้ายาเสพติด ไม่จำเป็นต้องยอมรับโทษแทนพวกเขาเลย ขอแค่คุณบอกเบาะแสที่คุณรู้ทั้งหมด คุณก็จะมีโอกาสไถ่โทษลดความผิด”

โจวเจ๋อโบกมืออย่างรำคาญ “พวกคุณเข้าใจผิดแล้วจริงๆ ผมไม่ได้ผลิตยาเสพติด และไม่เคยแตะต้องของพวกนี้เลย นี่เป็นแค่ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ ผมแค่อยากซื้ออุปกรณ์ง่ายๆ มาทำผงส้มไว้แช่น้ำดื่มเท่านั้นเอง”

“คุณอย่าขัดขืนเลย อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ คุณใจเย็นๆ แล้วลองคิดให้ดี” ลุงตำรวจคนนี้ค่อยๆ โน้มน้าว บางทีอาจจะเป็นเพราะในสายตาของเขา โจวเจ๋อยังอายุน้อย ประสบการณ์ยังไม่มาก น่าจะเป็นจุดที่ง่ายต่อการทะลวงเข้าไป แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้ว่า เถ้าแก่โจวตายมาแล้วหนึ่งครั้ง และอย่าเพิ่งพูดเรื่องไร้สาระที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ต่อให้เคยทำ ด้วยนิสัยของเถ้าแก่โจวจะโดนจับง่ายๆ เพราะคำพูดสองสามคำของคุณเหรอ

“คุณลองคิดดู ครั้งนี้พวกเราคอยจับตาดูคุณอยู่ หลักฐาน ช้าเร็วก็จะหาเจอ ถ้าหากไม่อยากให้คนรู้ว่าคุณทำอะไรทางที่ดีที่สุดคุณก็อย่าทำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะสามฟุตใช่ไหมล่ะ อีกอย่างหนึ่ง ยาเสพติดเป็นสิ่งที่อันตรายกับคนคุณก็รู้ดี เวลาทำเรื่องที่ขาดศีลธรรม คุณไม่กลัวตกนรกเหรอ”

“…” โจวเจ๋อ

“พวกเราคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ ดีกว่า ไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่การสอบสวน และไม่มีการบันทึกเสียงด้วย ผมเองจะได้พูดสะดวกหน่อย” ตำรวจกระแอมหนึ่งที

“ผมจะพูดความจริงกับคุณก็แล้วกัน” โจวเจ๋อพูดด้วยความจนใจ

“คุณพูดมา ผมรอฟัง” ตำรวจแอบทำสัญญาณมือ เพื่อบอกให้เพื่อนร่วมงานคอยสังเกตกล้องวงจรปิดขณะเดียวกันเขาก็ทำท่าตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ พวกคุณตรวจสอบประวัติของผมแล้ว น่าจะรู้ว่าภรรยาของผมมีเงินมาก แล้วก็พนักงานแซ่สวี่ในร้านหนังสือของผมพวกคุณก็จับมาแล้ว พวกคุณลองไปสืบได้ เขามีห้องชุดมากกว่ายี่สิบห้อง และสองสามปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเปิดร้าน สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือไม่ว่าทำอะไร มีอันไหนที่ทำเงินได้เร็วและมั่นคงกว่าอสังหาริมทรัพย์บ้าง

ต่อให้เป็นคนนั้นที่ใส่ชุดนักพรตเต๋า เขาคนเดียวได้ออกเงินช่วยเหลือเด็กนักเรียนตามเขตภูเขานับร้อยคนแล้ว รายได้จากการไลฟ์สดครั้งเดียวก็ได้หลายแสนแล้ว พวกเราไม่เคยอดอยาก มีเงินขนาดนี้ยังต้องผลิตยาเสพติดขายอีกเหรอ”

โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองพูดออกมาด้วยความจริงใจสุดๆ แล้ว และความหมายก็ชัดเจนมาก พวกเขาไม่ขาดเงิน ถึงแม้เถ้าแก่โจวจะเป็นคนที่ไม่มีเงินมากที่สุด แต่ถ้ายอมลดหน้าไปประจบพ่อตาของตัวเองก็สามาถหาเงินได้เหมือนกัน หรือถ้าจะง่ายกว่านี้ ก็พูดจาหลอกล่อไป๋อิงอิงให้เอาของในหลุมศพออกมาขาย แค่นี้ก็สามารถใช้ชีวิตได้สบายไม่ขัดสน

“เอ่อ…” เห็นได้ชัดว่าตำรวจได้สืบประวัติของสามคนนี้แล้ว เวลานี้พอได้ฟังคำพูดของโจวเจ๋อ เขาจึงพยักหน้า เพื่อบอกว่าพูดมีเหตุผลมาก

“คุณดูสิ ถูกต้องใช่ไหมล่ะ พวกเรามีเงิน ไม่ขาดแคลนเงินเลย แล้วจะว่างมากไปทำเรื่องผิดกฎหมายได้ยังไง กลัวว่าจะใช้ชีวิตสบายเกินไปเหรอ ตรรกะไม่สมเหตุสมผล”

ตำรวจเผยสีหน้านึกสนุกออกมา แล้วพูดว่า “อันที่จริงนี่ไม่นับว่าเป็นตรรกะที่ถูกต้องที่สุด โดยเฉพาะตัวของคุณ”

“อะไรนะ”

“อย่างเช่น…ร้านหนังสือของคุณที่เปิดในถนนหนานต้า ขาดทุนมาตลอดใช่ไหม ดังนั้น พวกเราสามารถยึดสาเหตุนี้เป็นแรงจูงใจของคุณได้ ยกตัวอย่างเช่น คนที่สามารถเปิดร้านหนังสือที่ต้องขาดทุนแน่ๆ ในย่านการค้าทำเลทองแบบนี้ การที่เขาผลิตยาเสพติดดูเหมือนจะสมเหตุสมผลเหมือนกัน เพราะจุดเริ่มต้นของคุณรวมถึงจุดประสงค์ในตอนต้นของคุณ อาจจะไม่ใช่เงินอย่างสิ้นเชิง แต่อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้นเร้าใจ ความสนุก…คุณคิดว่าใช่ไหม”

“…” โจวเจ๋อ

…………………………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล