ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 294

สรุปบท ตอนที่ 294 คนล้วงกระเป๋า: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

อ่านสรุป ตอนที่ 294 คนล้วงกระเป๋า จาก ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 294 คนล้วงกระเป๋า คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายAction ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 294 คนล้วงกระเป๋า

สำหรับโจวเจ๋อ ไม่มีเรื่องอะไรดีเท่ากับได้ตื่นขึ้นมาข้างกายอิงอิงกับสาวน้อยโลลิในตอนเช้า อาบน้ำแล้วนั่งอาบแดดริมหน้าต่างตรงตำแหน่งที่ตัวเองชอบอย่างสบายใจ

กาแฟขี้ชะมด หนังสือพิมพ์ที่รีดเรียบร้อยแล้ว ตามด้วยความตื่นตัวของคลื่นมนุษย์บนถนนหนานต้าในยามเช้า มองผู้คนด้านนอกเดินขวักไขว่ไปมาเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ ส่วนตัวเองกลับนั่งริมหน้าต่างใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย หรือว่านี่คือรสชาติของชีวิตที่แท้จริงใช่ไหม

นักพรตเฒ่าทำความสะอาดร้านหนังสือ อากาศร้อนขนาดนี้ ถึงแม้จะเปิดแอร์ในร้านแล้วก็ตาม แต่เขายังคงมีเหงื่อไหลตลอด

เจ้าลิงใส่หมวกแก็ปถือผ้าอยู่ในมือกำลังช่วยนักพรตเฒ่าเช็ดโต๊ะเช่นกัน มีประสิทธิภาพสูงมาก

อิงอิงหยิบผ้าสกปรกออกมาจากเครื่องซักผ้าแล้วนำไปตากแดดบนชั้นสอง ความมีชีวิตชีวาของร้านหนังสือประกอบกับกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น เถ้าแก่โจวเอนตัวอยู่บนโซฟา เขารู้สึกว่าอบอุ่นและสบายภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง

เมื่อก่อน นักพรตเฒ่าเคยถามสวี่ชิงหล่างว่า ทำไมเถ้าแก่ชอบนอนอาบแดด เพราะว่าเจ้านายคนเก่าของนักพรตเฒ่าเปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย เวลาว่างก็ชอบหยิบเก้าอี้ออกมาแล้วนอนอาบแดดสบายอยู่หน้าประตูร้านเหมือนคนแก่

สวี่ชิงหล่างตอบว่า ก็เหมือนสัตว์เลือดเย็นจำพวกจระเข้ที่ต้องนอนอาบแดด ส่วนผีน่ะเหรอ พลังหยินแรง ดังนั้นเวลาว่างจึงต้อบนอนอาบแดดเยอะหน่อย ซึมซับพลังพยางให้มากที่สุด

แน่นอนว่าเหล่าสวี่ที่พูดประโยคเหล่านี้ตอนนี้เขายังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ข้างบน คราวที่แล้วหลังจากพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่ไม่มีปัญหาอะไร โจวเจ๋อเดิมทีอยากจะใช้เล็บปลุกเขาให้ตื่น แต่ต้องล่าช้าเพราะเหตุการณ์ที่บ้านหลังนั้น เล็บที่บาดเจ็บยังไม่ฟื้นฟูกลับมา โจวเจ๋อจึงไม่กล้าวู่วาม เพราะเล็บที่บาดเจ็บ อาจจะมีผลทำให้การควบคุมเล็บของตัวเองลดลง ถ้าหากตอนที่กระตุ้นสวี่ชิงหล่างแล้วทิ่มลึกเกินไป อาจจะทำให้เหล่าสวี่เปลี่ยนจากเจ้าหญิงนิทรากลายเป็นศพแห้ง แบบนั้นคงแย่น่าดู

สาวน้อยโลลิก็ตื่นแล้ว ปิดเทอมภาคฤดูร้อนมาถึง เธอจึงไม่ต้องไปโรงเรียน หวังเคอทิ้งลูกสาวของตัวเองให้อยู่กับโจวเจ๋อทำให้เขาวางใจเป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่แทบจะไม่สนใจแล้ว

บางทีสำหรับหวังเคอในตอนนี้น่าจะยุ่งเรื่องของภรรยาตัวเองมากกว่า สำหรับเรื่องอื่น เขาอยากสนใจก็ทำไม่ได้

โจวเจ๋อเห็นชีวิตของเพื่อนที่โตมาด้วยกันแล้วได้แต่ทอดถอนใจ จะมีภรรยามีลูกไปทำไม อยู่ตัวคนเดียวสบายกว่าเยอะ

ประตูร้านหนังสือมีเด็กนักเรียนมัธยมต้นสี่ห้าคนเดินเข้ามา เป็นผู้ชายทั้งหมด พวกเขามาที่นี่เป็นวันที่สามแล้วเพราะปิดเทอมฤดูร้อนแล้ว พวกเขาจึงมองร้านหนังสือเป็นสถานที่เรียนรู้เพื่อฆ่าเวลาของตัวเอง

ไม่ว่าอย่างไรก็แค่หนึ่งร้อยหยวนต่อวัน สำหรับโจวเจ๋อสมัยที่เรียนชั้นมัธยมต้นได้เงินหนึ่งร้อยหยวนถือว่าเยี่ยมแล้ว แต่สำหรับเด็กสมัยนี้ หนึ่งร้อยหยวนแลกสถานที่พักหนึ่งวันถือว่าคุ้มค่า ต่อให้เป็นพ่อแม่ของพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าคุ้มค่า อย่างไรเสียลูกของตัวเองไปร้านหนังสือไม่ได้ไปร้านอินเทอร์เน็ต

สายตาของโจวเจ๋อมองเด็กเหล่านั้นหาที่นั่งบนโซฟาแล้วเริ่มทำการบ้าน คนหนึ่งทำภาษาอังกฤษ คนหนึ่งทำคณิตศาสตร์ คนหนึ่งทำวิชาฟิสิกส์ เคมี และอื่นๆ เป็นต้น ใครทำเสร็จแล้วก็ผลัดกันลอกการบ้าน ดังนั้นตลอดครึ่งวันตอนเช้าพวกเขาสามารถทำการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนของวันนี้เสร็จแล้ว ต่อจากนั้นทุกคนก็หาหนังสือจากชั้นวางหนังสือมาอ่านจนถึงตอนเย็นแล้วจึงกลับบ้าน

สาวน้อยโลลิอาบน้ำเสร็จเดินออกมา วันนี้เธอใส่ชุดกระโปรงเจ้าหญิง ปล่อยผมลงมา หน้าตาสะสวยประกอบกับรูปร่างเล็กบางของเธอ ทำให้ดูสวยงามประณีตเหมือนตุ๊กตาที่วางสะดุดตาอยู่ในร้านของเล่น

ตอนที่เห็นเธอเดินลงมา โจวเจ๋อชูนิ้วกลางให้เธอ ในความเป็นจริงเธอเป็นผู้หญิงที่มีอายุแล้ว แต่ชอบทำตัวเป็นเด็ก! น่าดูถูกชะมัด!

บางทีคงจะเป็นวงจรที่แปลกอย่างหนึ่ง ผู้หญิงหลายคนตอนเป็นวัยรุ่นชอบแต่งตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่พอตัวเองเริ่มมีอายุกลับอยากทำให้ตัวเองดูเป็นเด็ก

ตอนเช้าของร้านหนังสือ ผ่านไปอย่างเรียบง่ายและเงียบสงบอย่างช้าๆ แต่พอถึงตอนบ่าย ผู้ชายผมทองตาสีฟ้าคนหนึ่งเดินเข้ามา ชาวต่างชาติมาแล้ว ทุกคนในร้านหนังสือรวมทั้งเด็กนักเรียนพวกนั้นต่างเงยหน้ามองหนึ่งที จากนั้นก็ไม่สนใจอะไร สองสามปีที่ผ่านมา ทุกคนเห็นชาวต่างชาติจนเบื่อแล้ว

นอกจากบางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้ความสำคัญแล้ว ชาวบ้านทั่วไปกลับแสดงท่าทีที่เฉยเมยเป็นอย่างมาก

“ไม่ทราบว่าร้านของพวกคุณมีข้าวขายไหมครับ” ผู้ชายชางต่างชาติพูดภาษาจีนชัดและถูกต้องมาก

“กินข้าวเหรอ” นักพรตเฒ่าที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ตกตะลึง แม่งเอ๊ย มองร้านของเราเป็นโรงอาหารหรือไง แต่ด้วยกฎที่ว่าลูกค้าคือพระเจ้า นักพรตเฒ่าจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “มีครับๆ พวกเราบริการชุดข้าวพื้นเมือง”

“โอเค พื้นเมืองถึงจะดีที่สุดในโลก ผมชอบ” ผู้ชายชาวต่างชาติหาที่นั่งริมหน้าต่างเช่นกัน นั่งอยู่ข้างหลังโจวเจ๋อ ซึ่งอยู่ติดกับเด็กนักเรียนทั้งห้าคน

สักพักหนึ่ง นักพรตเฒ่าถือจานถั่วลิสง ถั่วปากอ้า ขนมโก๋ชั้นสองสามชิ้นพร้อมกับเต้าหู้ปรุงรสและเหล้าเหลืองมาวางบนถาดเล็ก แล้วยกมาเสิร์ฟ ขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนว่า “ชุดละแปดร้อยแปดสิบแปด”

ผู้ชายชาวต่างชาติพยักหน้า เพื่อบอกว่าตัวเองรู้แล้ว

นักพรตเฒ่าวางของกินจานเล็กๆ เหล่านี้แล้วจึงเดินออกไป ของพวกนี้เป็นอาหารใช้ต้อนรับผีที่เข้ามาในร้าน เต้าหู้ปรุงรส ถั่วลิสง ขนมโก๋ชั้นพวกนี้เป็นอาหารที่เก็บง่าย หลักๆ แล้วเพื่อความสะดวก และในร้านก็มีของกินพวกนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้แม่ครัวก็ไม่อยู่ พนักงานในร้านบวกกับเถ้าแก่กินข้าวยังต้องสั่งเดลิเวอรี่ แล้วจะมีเวลาทำให้ลูกค้าได้อย่างไร

ชาวต่างชาติกินและพยักหน้าไปด้วย ชมว่าอร่อยมากแล้วยังหยิบกล้องออกมาถ่ายรูป หลังจากกินไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ชาวต่างชาติจึงเริ่มสนทนากับนักเรียนชั้นมัธยมต้นเหล่านั้น

แต่ก่อนหน้านั้นเขาใช้ภาษาจีน ทว่าครั้งนี้กลับใช้ภาษาอังกฤษ

“How are you?” (เป็นยังไงบ้าง)

“I’m fine thank you. And you?” (ฉันสบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ)

“I’m fine too.” (ฉันก็สบายดี)

“ไม่มีอะไร อย่าไปถือสาเด็ก”

เวลานี้ โจวเจ๋อได้ข้อความจากวีแชต เป็นข้อความตอบกลับของจางเยี่ยนเฟิง ‘คุณอยากไปเยี่ยมเขา ผมช่วยจัดการได้ ผมเพิ่งไปเยี่ยมเขาเมื่อสองวันก่อน’

หลังจากอ่านข้อความคร่าวๆ แล้ว โจวเจ๋อจึงปิดหน้าจออย่างเงียบๆ ไป๋อิงอิงก็เห็นเนื้อหาในวีแชตแล้ว เธอรู้สึกดีใจ รู้สึกว่าเถ้าแก่ของตัวเองมองสาวน้อยโลลิเป็นคนนอกแต่ไม่ทำแบบนั้นกับตัวเอง

ในความเป็นจริงนั้น โจวเจ๋อสงสัยสามีคนนั้นที่โดนขังคุกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่นักพรตเฒ่าเข้าไปตรวจสอบสิ่งของแล้วไม่ได้ข้อมูลที่มีค่าใดๆ กลับมาเลย ความน่าสงสัยของสามีคนที่เข้าคุกคนนั้นจึงเพิ่มขึ้นในพริบตา

ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าคุกไปแล้วก็ตาม แต่กุญแจสำคัญก็คือปากกาผู้พิพากษาด้ามนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะหายไปแบบไม่มีสาเหตุ แน่นอนว่าสาเหตุที่จงใจปิดบังสาวน้อยโลลิแล้วเข้าไปสืบด้วยตัวเอง เป็นเพราะเถ้าแก่โจวแสดงการพัฒนาหลังจากเก็บความคิดเป็นปลาเค็มคนว่างงานกลับไปบ้างแล้ว

ตอนนั้นปากกาผู้พิพากษาสามารถแยกตัวเขากับคนนั้นที่อยู่ภายในร่างกายของเขาได้ ถ้าหากสาวน้อยโลลิได้ปากกาผู้พิพากษาก่อน คาดว่าเธอคงจะมีวิธีแยกเลือดวิญญาณที่เขาอาศัยมันเพื่อข่มเธอเอาไว้ออกไป ของพวกนี้ต้องควบคุมอยู่ในมือของตัวเองถึงจะดี อย่างไรก็ตามมันไม่เหมือนสมุดหยินหยาง ตอนนี้ตัวเขาใช้ไม่ได้ สาวน้อยโลลิก็ใช้ไม่ได้ ใครใช้คนนั้นจะต้องเข้าไป ดังนั้นจึงโยนให้เจ้าลิงดูแลได้ตามสบาย แต่ปากกาผู้พิพากษา แม้แต่คนธรรมดายังสามารถใช้ได้

จากนั้นเขาจึงดื่มกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ เด็กนักเรียนเหล่านั้นยังคงคุยเล่นกับชาวต่างชาติอยู่ หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง นักพรตเฒ่าเดินหายใจหอบกลับมา ถือถุงพลาสติกอยู่ในมือ ของที่อยู่ในถุงเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน

“เป็นอะไร” โจวเจ๋อถาม

“เถ้าแก่ โทรศัพท์ของข้าเหมือนจะโดนขโมยในซูเปอร์มาร์เก็ต” นักพรตเฒ่าทำหน้าอับอายขายหน้า เขาถือว่าเป็นคนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานาน แต่กลับเจอคนล้วงกระเป๋าได้ แถมยังขโมยไปได้สำเร็จ ขายหน้าจริงๆ

“ไปแจ้งความสิ” โจวเจ๋อพูด

“เฮ้อ” นักพรตเฒ่าพยักหน้าอย่างจนใจ วางของกำลังเตรียมตัวจะไปแจ้งความ

“ผมแจ้งความเองครับ” เวลานี้ ออตเตเซนชาวต่างชาติที่กำลังคุยกับนักเรียนอย่างสนุกสนานได้ลุกขึ้นพูด

“โทรศัพท์ของข้าหาย เจ้าจะแจ้งความทำไม” นักพรตเฒ่าพูดด้วยความสงสัย

ออตเตเซนครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ผมแจ้งความ จะหาได้เร็วขึ้นอยู่บ้าง”

…………………………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล