ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 499

ตอนที่ 499 พ่อ!

“เพิ่มน้ำตาล!”

อีกทั้งครั้งนี้โจวเจ๋อยังใจกว้างเป็นพิเศษ กลัวเด็กน้อยจะกินไม่อิ่ม ฉะนั้นคราวนี้จึงเพิ่มน้ำตาลให้เขาไปเลยสิบก้อน!

เถ้าแก่โจวใช้ชีวิตแบบอดออมมาโดยตลอด คราวนี้ขูดเลือดขูดเนื้อครั้งใหญ่จริงๆ!

‘พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ!’

เล็บทั้งสิบนิ้วหลุดออกจากปลายนิ้วของโจวเจ๋อ และพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วทันที!

ในชั่วพริบตา โจวเจ๋อเจ็บปวดจนแทบจะเป็นลม โชคดีที่ฝืนดึงสติเอาไว้ไม่ให้เป็นลมล้มพับไป คราวก่อนตอนเผชิญหน้ากับชุ่ยฮวาตรงริมฝั่งแม่น้ำที่มีศพถูกฝังไว้ โจวเจ๋อยิงเล็บออกไปแค่นิ้วเดียว แต่คราวนี้ตั้งสิบนิ้ว!

คู่ต่อสู้ต่างกัน เป้าหมายต่างกัน ผีดิบน้อยตัวนี้หนังเหนียวกว่าชุ่ยฮวามาก และน่ากลัวกว่าด้วย

หากโจวเจ๋อมีทางเลือกอื่นละก็ แน่นอนว่าโจวเจ๋อไม่ยอมกระเสือกกระสนอย่างนี้หรอก สิบนิ้วเชื่อมใจ ความเจ็บปวดประเภทนี้คนธรรมดาจินตนาการไม่ออกหรอก ครั้งก่อนเล็บหักไปแค่นิ้วเดียวยังเจ็บปวดจนไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ครั้งนี้ดันอยู่ในรังของชาวบ้าน ประจวบเหมาะกับคนเขาอยากจัดการโจวเจ๋อแล้วตามยอดรักในดวงใจของเขาไปเร็วๆ

โจวเจ๋อกังวลว่าหากดันทุรังต่อไป ผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีไร้ญาติข้างนอกจะพากันกรูเข้ามา ถึงตอนนั้นหากเขาตกอยู่ท่ามกลางสงครามประชาชีอีกครั้งก็เป็นอันจบสิ้น

เล็บสิบนิ้วราวกับสายฟ้าฟาดสิบสายพุ่งไปตรงหน้าเด็กชายทันที

รูม่านตาของเด็กชายหดตัวลงชั่วขณะ เล็บของเขาโบกสะบัดตามสัญชาตญาณ

‘ปัง!’

‘ปัง!’

สกัดกั้นเล็บได้สองนิ้วต่อเนื่องกัน ปลายนิ้วของเด็กชายเองมีเลือดพวยพุ่งออกมาเช่นกัน ร่างกายถอยกรูดไปชั่วครู่ เล็บมาเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ตัวแล้วว่าฉิบหายแล้ว!

เล็บอีกแปดนิ้วตามมาติดๆ ทิ่มแทงร่างของเขาอย่างไร้ความปรานี เมื่ออยู่ต่อหน้าเล็บของโจวเจ๋อร่างผีดิบแสนโอหังของเขาดูเหมือนว่าไม่ได้แข็งแกร่งจนทำลายไม่ได้อย่างที่ตัวเองจินตนาการเอาไว้

“อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!” เด็กชายกรีดร้องลั่นยาวรัวเป็นชุด ร่างหงายหลังลอยละลิ่วออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลัง เล็บแปดนิ้วแยกกันตอกเข้าไปในลำตัวของเขา และตรึงทั้งร่างไว้บนกำแพงแน่น

โจวเจ๋อคลานขึ้นมาอย่างเงียบๆ ความเจ็บปวดทำให้สีหน้าของเขาเริ่มเหยเก แต่เขาก็ยังเดินโซเซตรงไปใต้ร่างของเด็กชาย

เลือดสีดำกำลังไหลรินออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์แปดจุดบนตัวเด็กชาย เลือดของเขาให้เนื้อสัมผัสคล้ายกับน้ำมัน เด็กชายอ้าปากพะงาบๆ อยากพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพบว่าไม่สามารถพูดอะไรได้ ร่างกายของเขาแข็งทื่อพยายามขยับตัวแต่ก็ไร้ประโยชน์

โจวเจ๋อฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองออก ใช้ฟันกับศอกพันแผลให้มือทั้งสองข้างของตัวเขาเอง นี่เพียงเพื่อห้ามไม่ให้เสียเลือดมากเกินไปจนตัวเองล้มลง แต่หากไม่ได้จัดการรักษาเป็นเรื่องเป็นราวละก็ อาการบาดเจ็บก็จะแย่ลงเรื่อยๆ

“แกทำมาจากอะไรกันแน่เนี่ย ยังไม่ตายอีก”

โจวเจ๋อมองผีดิบน้อยอย่างประหลาดใจเล็กน้อย มิน่าล่ะถึงได้โอหังขนาดนี้ อีกฝ่ายมีทุนให้หยิ่งยโสจริงๆ นั่นแหละ เขามอบน้ำตาลให้อีกฝ่ายไปตั้งสิบก้อนแล้ว เจ้าตัวยังดิ้นทุรนทุรายตายยากเหมือนแมลงสาบอยู่เหมือนเดิม ไม่มีเค้าส่อให้เห็นว่าจะตายทันทีเลยด้วยซ้ำ

ยังดีที่มีสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อโล่งใจ นั่นก็คือตอนนี้เจ้าหมอนี่กลายเป็นตุ๊กแกที่หางถูกตรึงไว้ ดูเหมือนว่าแววตายังอาฆาตมาดร้ายดังเดิม แต่กัดใครไม่ได้อีกแล้ว

ในโลกนี้ นอกจากบั๊กอย่างเจ้านั่นในร่างของเขา ผีดิบระดับคล้ายเด็กชายแบบนี้น่าจะหายากละมั้ง

เดิมทีโจวเจ๋ออยากใช้มือของตัวเองจับหน้าเขาเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นมือของตัวเองถูกพันจนเหมือนหมั่นโถว คิดๆ แล้วก็ช่างมันเถอะ แล้วใช้เท้าเตะๆ ถีบๆ เจ้าหมอนี่แทน

“ฉันไม่ได้หลอกแก ฉันเป็นบรรพบุรุษของแกจริงๆ”

เด็กชายถลึงตามองด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าในมุมมองของเขา นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างหนึ่งที่โจวเจ๋อมอบให้ในฐานะผู้ชนะ โจวเจ๋อกำลังลิ้มรสความตื่นเต้นของการเป็นผู้ชนะ!

เมื่อมองแววตาเกรี้ยวกราดของเด็กชาย ตอนนี้โจวเจ๋อนับว่าสัมผัสได้ถึงความจนใจของอิ๋งโกวในคืนนั้นแล้ว เขาเพียงบอกความจริงกับพระขี้เรื้อนว่า ‘ตอนที่ข้าเกิด โลกนี้ไร้พุทธะ’ แค่ประโยคเดียวเหมือนกัน กลับเป็นผลให้พระขี้เรื้อนถูกกระตุ้นจนคลุ้มคลั่งระเบิดจักรวาลขนาดย่อมออกมาทันทีเพื่อต่อกรกับอิ๋งโกว และเกือบจะเรียกพระพุทธเจ้าลงมาได้แล้ว

เขากัดฟัน พูดตามจริงแล้ว เรื่องที่เกิดในคืนนั้นช่างน่าเสียใจจริงๆ ถ้าเขาไม่ถูกพิษละก็ อาศัยแค่ความสามารถของเขาก็น่าจะรับมือได้แท้ๆ อย่างน้อยๆ ก็สามารถจากไปได้อย่างสบาย ผลปรากฏว่าดันทำจนกลายเป็นอย่างเช่นตอนนี้ ตอนที่อยากได้พลังของอิ๋งโกวเจ้านั่นดันนอนหลับสนิทเสียได้

เล็บสิบนิ้วเอ๋ย เล็บทั้งสิบนิ้วเอ๋ย!

โจวเจ๋อพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อยากจะหาอะไรมาทุบเจ้าหมอนี่ให้ตายๆ ไปเสีย แต่ดูจากระดับความหยาบกร้านและความหนาของผิวหนังนี่แล้ว บวกกับตอนนี้เขาไม่มีเล็บแล้วด้วย จะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายอย่างไรดี

โจวเจ๋ออ้าปาก หรือว่ากัดเขาให้ตายดี

ตัดหญ้าให้ถอนรากถอนโคน มันเป็นหลักการที่ทุกคนต่างรู้กันดี

คราวที่แล้วปล่อยให้พระขี้เรื้อน ‘หนี’ ไป โจวเจ๋อไม่สบอารมณ์อยู่นาน คราวนี้เขาไม่อยากเก็บคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวกว่าพระขี้เรื้อนไว้ให้กลับมาแก้แค้นเขาอีกในอนาคต

แต่ทว่า ตอนที่โจวเจ๋ออ้าปาก กลับพบว่าเขี้ยวของเขาหายไปแล้ว คาดว่าวันนี้คงเหนื่อยเกินไป ใช้พลังเกินขีดจำกัดจึงไม่สามารถเปิดใช้สภาวะผีดิบได้อีก

เว้นเสียแต่ว่าโจวเจ๋อจะยอมนั่งลงที่นี่และพักผ่อนไปสักครึ่งค่อนวัน คาดว่าถึงตอนนั้นค่อยพยายามแยกเขี้ยวออกมากัดเจ้าหมอนี่ตายอีกครั้งก็น่าจะได้

แต่ที่นี่ดันเป็นรังของคนอื่นเขา โจวเจ๋อไม่บ้าบิ่นได้ขนาดนั้นจริงๆ หรอก

“เจ้าเด็กน้อย ฉันขอเตือนแกต่อไปอย่าได้คิดแก้แค้นเชียว ไม่งั้นแกได้ตายอนาถแน่ จริงๆ นะ”

โจวเจ๋อเตือนด้วยความปรารถนาดี เป็นความห่วงใยผู้เยาว์จริงๆ อีกทั้งโจวเจ๋อก็ไม่ต้องการให้เจ้าหมอนี่จู่ๆ มาโผล่อยู่นอกหน้าต่างตอนที่เขากำลังนั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังพิมพ์อยู่บนโซฟาในอนาคตหรอกนะ

ถ้าครั้งหน้าพบเจออีก เทียบกับเล็บสิบนิ้วหักแล้ว โจวเจ๋อยอมปล่อยอิ๋งโกวออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ดีกว่า ถือโอกาสให้เขาสั่งสอนเจ้าเด็กน้อยนี่ว่าอะไรคือการพัฒนาคุณธรรม สติปัญญา ร่างกาย ศิลปะ และแรงงาน

แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญกับคำเตือนที่ปรารถนาดีของโจวเจ๋อ ในหูของเด็กชายคงจะเป็นอวดดี! ยั่วยุ! อดสู! ไปแล้วแน่ๆ

เถ้าแก่โจวเตะขาเจ้าหมอนี่อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ลาก่อน” จากนั้นวิ่งออกไปตามทางที่ปูด้วยก้อนอิฐสีเทา เล็บไม่เหลือแล้ว แถมร่างกายยังเสียเลือดอีก โจวเจ๋อไม่รู้ว่าเขาจะฝืนทนได้นานแค่ไหน แต่ต้องลองพยายามหนีออกไปข้างนอกดู

ทว่าสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อแปลกใจคือ เมื่อวิ่งมาจนถึงซุ้มประตูที่มีข้ารับใช้ดูแลก่อนหน้านี้ เขาดันไม่เจอใครเลย แม้กระทั่งข้ารับใช้สองคนที่ประตูก็หายไป

โจวเจ๋อเดินออกไปข้างนอกต่อ โต๊ะงานเลี้ยงทางนู้นแขกเหรื่อยังแน่นขนัดเหมือนเดิม ทุกคนยังดื่มกินเหมือนผีหิวโหย การแสดงนี้ดำเนินไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังคึกคักขนาดนี้

สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกได้ทันทีว่าคนเหล่านี้ค่อนข้างมีความสุขทีเดียว น่าเสียดายที่ผีดิบน้อยไม่ได้แต่งงานทุกวัน ไม่อย่างนั้นวิญญาณเหล่านี้คงมีงานเลี้ยงทุกวันไปแล้ว

ดื่มเหล้าที่ไม่มีวันดื่มหมด

กินอาหารที่ไม่มีวันกินหมด

อันที่จริง สิ่งที่มนุษย์บนโลกจำนวนไม่น้อยตามหาอยู่ ไม่ใช่สิ่งนี้หรอกหรือ

กระทั่งตอนที่เดินผ่านโต๊ะนั้นที่เขาเคยนั่งอยู่ก่อน ผีฝรั่งทั้งเจ็ดที่โต๊ะยังยกจอกเหล้าขึ้นทักทายโจวเจ๋ออยู่เลย ช่างสะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพแห่งการปฏิวัติที่ลึกซึ้ง ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้โจวเจ๋อก็พล่ามด่าพรรคริพับลิกันกับพวกเขา ในสายตาของพวกเขาโจวเจ๋ออยู่ฝ่ายตัวเอง

ฝรั่งสาวคนนั้นยังถามโจวเจ๋อเป็นภาษาอังกฤษว่าเพื่อนข้างๆ เขาไปไหนแล้ว

เห็นได้ชัดว่าที่เธอถามถึงคือทนายอัน คนอย่างทนายอันนิสัยเหมือนหมา มีวิธีรับมือกับสาวๆ อย่างร้ายกาจมาก แต่ว่าอย่าพูดถึงเลย คาดว่าทนายอันคงไปแล้วละ ต่อให้เขาอยู่ที่นี่ หลังจากเจอศพฝรั่งสาวคนนี้แล้วก็น่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเธอแล้ว

โจวเจ๋อยิ้มให้พวกเขา แต่ในใจกลับคิดไตร่ตรอง หรือว่าเจ้าผีดิบน้อยนั่นอวดดีจนนึกว่าตัวเองสามารถจัดการทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้ ถึงกับไม่แจ้งให้ภายนอกรับรู้ด้วยซ้ำ

สถานที่อย่างลานเล็กๆ นั่น เป็นสถานที่ที่เจ้าผีดิบน้อยซุกซ่อนสาวงามไว้ เดาว่าวิญญาณรับใช้ตนอื่นไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามกับที่นั่นสินะ

ฉะนั้น เขาสามารถเดินวางท่าออกไปอย่างนี้ได้เลยใช่ไหม

ไม่เลวเลยทีเดียว ในเมื่อช่วยหลินเข่อได้แล้ว ทนายอันก็น่าจะพาเธอออกไปแล้ว

หลังจากเขาออกไปแล้ว เรื่องก็น่าจะจบลงได้ชั่วคราวพร้อมใส่จุดจบประโยคได้แล้ว

กลับบ้าน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล