ตอนที่ 536 ตำหนักเก้า
ลู่ผิงจื๋อลืมตาอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ ราวกับว่าใบหน้าเปลือกต้นเอล์มแก่ยับย่นรุนแรงขึ้นในเวลานี้ ถ้าคนธรรมดาแก่หง่อมเหมือนเขาก็คงจะตายไปนานแล้ว แต่เขายังแข็งแรงได้อย่างคาดไม่ถึง
เขาเริ่มเอ่ยพูดอย่างเชื่องช้า “ไท่ซานพังทลาย ทะเลแห่งความตายเหือดแห้ง”
ความหมายคือ คุณจะใช้ดาบของราชวงศ์ก่อนฆ่าเจ้าหน้าที่ของราชวงศ์ปัจจุบันงั้นสินะ
นี่น่ะดูเหมือนวางโตข่มขู่เสียน่ากลัว แต่กลับไม่ใช่ของจริง เจ้าทะเลแห่งความตายแทบจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว เชื้อสายไท่ซานฝู่จวินล่มสลายไปนานแล้ว ฝู่จวินรุ่นสุดท้ายก็หายสาบสูญไปเมื่อพันปีก่อนเช่นกัน ชื่อน่ะแสนยิ่งใหญ่ แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวในอดีต
“ทำไม” ทนายอันลูบข้อมือของตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “จะยังไงก็ดีกว่าท่านที่เอาชีวิตรอดไปวันๆ แหละน่า ผมเดาว่า ท่านเอาแต่หดหัวอยู่ที่นี่คงจะอาศัยกัดกินเศษวิญญาณเหล่านั้นประทังชีวิตทุกวันละสิ”
ลู่ผิงจื๋อพยักหน้า ไม่ปฏิเสธ และยอมรับมันอย่างใจกว้าง เขายอมรับความอ่อนแอของตัวเอง และจำนนต่อสถานการณ์ของตัวเองในเวลานี้เช่นกัน ไม่โมโหหน้าดำหน้าแดง และไม่มีการควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทั้งยังเอ่ยถามว่า “เยี่ยงไร”
นี่เป็นการถามย้อนกลับซึ่งมีความหมายว่า พวกท่านคิดจะจัดการเยี่ยงไรกับข้า
ลำพองและอวดดีมาก ราวกับไม่เห็นทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด
หากไม่มองพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่อยู่หลังม่านลูกปัดละก็ อย่างนั้นนรกทั้งสิบขุมแทบจะเป็นศูนย์กลางอำนาจของยมโลกทั้งหมด ลู่ผิงจื๋อเคยทำงานที่นั่นมาก่อนจึงมีความมั่นใจที่จะเอื้อนเอ่ย ‘เยี่ยงไร’ สองคำนั้นออกมา
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ โทษที เถ้าแก่ข้างกายผมท่านนี้ เกลียดชังความชั่วยิ่งกว่าสิ่งใด วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่คิดอยากรับใช้ชาติและประชาชน ปกป้องรักษาความปลอดภัย ส่วนท่านน่ะ ก็ได้แค่ส่งท่านให้ไปตามทางแล้วละ” ทนายอันยักไหล่ ที่จริงนับตั้งแต่เริ่มตะโกนบอกตำแหน่งทางการเมื่อกี้ ก็หมายความว่าเรื่องในวันนี้ดูท่าจะไม่ได้มาดีเสียแล้ว
ข้อหนึ่งคือ ตาเฒ่านี่บังเอิญซ่อนอยู่ที่ทงเฉิง ขืนเขายังกลืนกินเศษวิญญาณอยู่อย่างนี้จะต้องมีผลกระทบต่อแต้มผลงานของยมทูตทั้งทงเฉิงเป็นแน่ ข้อสองคือ เพราะเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่วิญญาณเพียงอย่างเดียว ยังมุ่งเป้าไปที่คนเป็นๆ อีกด้วย แน่ละว่ายังมีข้อสาม นั่นก็คือทนายอันสังเกตเห็นว่า ท่วงท่า ‘สง่างาม’ ของกระโถนปากแตรคนงามของชายชราเมื่อครู่นี้ ทำให้เถ้าแก่ของเขาสะอิดสะเอียน
“เหอะๆ” ลู่ผิงจื๋อหัวเราะอย่างดูแคลน “ข้ายังอยากเสวนาพาทีเรื่องนี้อยู่ ตัวข้าสร้างหุ่นเชิดให้ช่วยออกไปเก็บรวบรวมให้ข้า แต่ความรวดเร็วนั้นช้าจนเกินไป เดิมทีอยากให้พวกท่านทั้งสองช่วยทำแทนข้า แต่พวกท่านกลับไม่รู้อะไรควรไม่ควรถึงเพียงนี้”
“จุ๊ๆ” ทนายอันส่ายหน้า “ท่านเสพติดการเล่นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือจนงอมแงมไปแล้วหรือ”
เป็นความจริงที่ยมทูตในโลกมนุษย์จำนวนไม่น้อยขอพึ่งพาอาศัยอิทธิพลต่างๆ ในยมโลก แต่ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าจะขายร่างกายและวิญญาณให้ก็ต้องขายให้ได้ราคาดี
“ท่านเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยก็คิดอยากจะปราบเราให้อยู่หมัดเรอะ”
“หากข้าผู้เดียวทำไม่ได้ละก็ เช่นนั้นพาทั้งตำหนักเก้าไปด้วยเป็นเยี่ยงไร” ลู่ผิงจื๋ออ้าปาก ทันใดนั้นลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปากของเขา บ้านผุพังที่เดิมทีว่างเปล่าพลันให้ความรู้สึกว่าถูกเติมเต็มขึ้นมาในขณะนี้ ขุนนางผีแห่งยมโลกสวมอาภรณ์เรียบง่ายและสวมผ้าโพกหัวทำจากไหมยืนอยู่ทั้งสี่ด้าน ล้วนแล้วแต่หลับตาทั้งสิ้น ราวกับว่านอนหลับสนิทประหนึ่งงูจำศีล
เวลานี้แม้แต่เปลือกตาของทนายอันยังกระตุกถี่ยิบ สถานการณ์นี้ออกจะน่ากลัวไปหน่อยแล้ว แม่งเอ๊ย ไม่ใช่ว่าท่านต้องโทษถึงได้แอบหลบหนีเอาชีวิตรอดหรอกหรือ แล้วนี่มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน สวัสดิการในนรกมันห่วยเกิน พวกข้าราชการเลยพากันออกมาทำงานอื่นเรอะ
“ถ้าส่วนของข้าไม่เพียงพอละก็ เพิ่มพวกเขาเข้าไปเพียงพอหรือไม่” ประหนึ่งผู้ซื้อและผู้ขายสองฝ่ายกำลังเจราจาต่อรองราคากันอยู่
ทนายอันเข้าไปอยู่ตรงหน้าขุนนางคนหนึ่งพลางโบกมือ อีกฝ่ายเป็นร่างวิญญาณ จับต้องไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่อำนาจทางการที่เบาบางนั้นมันเสแสร้งแกล้งทำไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจริงทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พวกเขาอ่อนแอมากเสียจนหลับสนิทกันหมด
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นรกกันแน่” ทนายอันขมวดคิ้วแน่น เขาติดต่อกับทางฝั่งนรกมาโดยตลอด แต่ฉากตรงหน้าเขาในเวลานี้ กลับทำให้เขารู้สึกว่าเขายังรู้น้อยเกินไปด้วยซ้ำ พูดอีกอย่างคือ บางเรื่องไม่ใช่ว่าขุมอำนาจในนรกที่ติดต่อเขาเหล่านั้นจงใจไม่บอกเขา แต่ทว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน
“มนุษย์มีสามจิตเจ็ดวิญญาณ ข้าต้องการเพียงหนึ่งวิญญาณมาบำรุงชดเชย จะทำ จะรวบรวมเยี่ยงไรไม่ให้ยมโลกจับได้ ข้าคิดว่าพวกท่านเชี่ยวชาญมากกว่าข้า ช่วยข้า ช่วยพวกเรา วันข้างหน้า รอพวกเขาในที่นี้ฟื้นตื่นขึ้นมา พวกเราจะร่วมกันอวยพรให้พวกท่านมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์! ยมทูตในโลกมนุษย์จะไม่ทำก็ไม่เป็นไร ตำหนักเก้าแห่งยมโลกจะปกป้องพวกท่านในสถานะแห่งยมบาล”
อันที่จริง ยมบาลเทียบกับผู้ตรวจสอบไม่ได้ และยิ่งเทียบไม่ได้กับผู้พิพากษา แต่นั่นเป็นตำหนักเก้า เป็นตำหนักเก้าของหนึ่งในนรกทั้งสิบขุม หากเป็นยมบาลของที่นั่นก็มีอำนาจเทียบเท่ากับหัวหน้าสำนักงานหน่วยงานสำคัญในกรุงปักกิ่ง อำนาจและสถานะที่ซ่อนอยู่นั้นชัดเจนในตัวมันเอง
ทนายอันสูดลมหายใจเฮือกแล้วผ่อนลมหายใจหนักๆ ออกมา ให้ตายสิ ต้องบอกว่าเขาหวั่นไหวเสียแล้ว!
ถ้าหากได้รับสถานะยมบาลกลับไป แม้ว่าจะไม่สวยงามเหมือนดั่งในฝัน แต่ก็นับว่าถูกต้นไม้ใหญ่ปกคลุมคุ้มกะลาหัว แม้จะไม่เป็นอิสระเหมือนสมัยที่ตัวเองเป็นผู้ตรวจสอบก็ตาม แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุ อีกทั้งตาเฒ่านี่วางท่าจัดแจงอย่างหรูหรา อำนาจที่แสดงออกมาเป็นหลักฐาน เท่ากับเป็นการใช้ทักษะเจรจาอย่างถึงที่สุด
แต่
แต่
แต่ว่า
ตำหนักเก้าแล้วยังไงล่ะ ฉันมีต้นขาทองอร่ามวาววับอยู่ข้างๆ เชียวนะ! ทนายอันเสมองโจวเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวเอง
เอ๊ะ ไม่ถูกต้อง ทำไมถึงมีแสงวิบวับอยู่ในดวงตาของเถ้าแก่ไปได้ แม่งเอ๊ย ไม่จริงน่า!
ความจริงแล้ว เถ้าแก่โจวใจเต้นโครมครามไปแล้ว ตอนที่วิญญาณขุนนางเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น เขาก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา แต่ไม่ใช่เพราะคำสัญญาถึงอนาคต และไม่ใช่เพื่อการขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ความตื่นเต้นระลอกนี้มันมาจากส่วนลึกในจิตใจของเขา
โจวเจ๋อกัดฟัน บังคับฝืนอารมณ์ของตัวเอง เขารู้ว่าหลังจากเห็นวิญญาณเหล่านี้แล้ว เจ้านั่นในร่างของเขา มันหิวแล้ว! แต่เป็นไปไม่ได้ที่เถ้าแก่โจวจะปล่อยให้อิ๋งโกวออกมาเขมือบอาหารมื้อใหญ่ จำนวนเยอะมากมายขนาดนี้ หากปล่อยให้อิ๋งโกวเขมือบกลืนจนเกลี้ยง อย่างนั้นตัวเขาเองก็คงจบเห่เป็นแน่แท้
อิ๋งโกวที่หิวโหยโรยแรงถึงจะเป็นอิ๋งโกวที่ดีที่สุดสำหรับโจวเจ๋อ
เถ้าแก่โจวถึงกับเคยส่งข้อความถึงยมทูตสามตนจากที่อื่น ขอให้พวกเขาตรวจสอบเรื่องพระธาตุที่สวีโจว และทางที่ดีที่สุดก็คือขโมยพระธาตุมาเสีย พอเป็นอย่างนี้ทีหลังหากอิ๋งโกวเขมือบอาหารลงไปนิดหน่อย แล้วฟื้นตัวเล็กน้อย เขาก็จะกัดฟันขยับเข้าไปหน้าพระธาตุและชนระเบิดนี้สักที ปรับสมดุลด้วยตนเองเสียหน่อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล