ตอนที่ 538 พยับเมฆ!
สีหน้าของทนายอันเปลี่ยนไปในฉับพลัน ตำหนักเก้าถูกผนึกแล้วงั้นเหรอ บางทีคนธรรมดาอาจไม่รู้ความตื้นลึกของที่นี่ แม้กระทั่งยมทูตและผู้จับกุมส่วนใหญ่ ต่อให้พวกเขาเป็นคนวงใน แต่เพราะอยู่ชิดขอบเกินไป หลายๆ ครั้งจึงเห็นเพียงแต่ดอกไม้ในสายหมอก
แต่ในตอนแรกทนายอันเคยเป็นผู้ตรวจสอบ แม้จะฝืนเรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งที่แตะหางท้ายๆ ของระดับกลาง ไม่นับว่าเป็นขุนนางที่ราชสำนักแต่งตั้งก็ตามที แต่ทนายอันในตอนนั้นตีเนียนได้อยู่นี่นา
ผู้ตรวจสอบทั่วไปนั้น ต่อให้อยากจะเนียนๆ เข้าร่วม ‘กลุ่มกบฏ’ คนอื่นก็ไม่พาคุณเล่นสนุกด้วยหรอก คนอย่างทนายอันดันสามารถเข้าไปเล่นสนุกได้ อีกทั้งยังได้รับผลกระทบด้วย ถูกลงโทษไล่ฆ่า นี่ก็นับว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่งเช่นกัน!
ด้วยเหตุนี้ ทนายอันรู้ดีว่าสถานการณ์นี้มันร้ายแรงเพียงใด
อันที่จริงแล้วในสมัยโบราณทั้งโลกมนุษย์และนรกล้วนอยู่ในสภาพเดิมไร้การบุกเบิก สมัยนั้นอิ๋งโกวปฏิบัติตามคำสั่งของจักรพรรดิเหลืองให้ปราบปรามทะเลแห่งความตาย โลกมนุษย์พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ยมโลกก็ผันผวนเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน หลังจากที่อิ๋งโกวล้มลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ นรกก็เต็มไปด้วยกลุ่มวีรบุรุษ กระทั่งแต่ละฝ่ายแบ่งแยกทะเลแห่งความตาย จนบัดนี้ทะเลในอดีตเหลือเพียงแม่น้ำปรภพสายบางๆ เท่านั้น
หลังจากนั้น ไท่ซานฝู่จวินรุ่นแรกได้บูชาฟ้าดินบนยอดเขาไท่ซาน เคลื่อนย้ายพลังและจิตวิญญาณแห่งเขาไท่ซาน ปราบปรามนรก จนในที่สุดนรกก็กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างมีระเบียบใหม่อีกครั้ง นับตั้งแต่นั้นมา หยินและหยางก็สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โลกมนุษย์เข้าสู่การพัฒนาอย่างเป็นระเบียบ นรกก็เช่นกัน
แต่ทว่าหลังจากไท่ซานฝู่จวินรุ่นก่อนซึ่งก็คือรุ่นสุดท้ายได้หายสาบสูญ นรกกลับมาไร้ผู้นำอีกครั้ง แต่กลับคงอยู่ได้ไม่นานนัก พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ทรงเคลื่อนไหว ร่วมมือกับหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดของไท่ซานฝู่จวินในอดีตสร้างระบบระเบียบนรกใหม่ และหมุนเวียนผันผ่านมานับพันปีตลอดจวบจนทุกวันนี้ ซึ่งก็คือยมโลกในปัจจุบัน
อันที่จริง กระบวนการนี้ไม่ได้เกิดความโกลาหลมากนัก และไม่ได้ผ่านการพลิกผันมากจนเกินไป เพียงแค่เปลี่ยนธงของกษัตริย์เหนือกำแพงเมือง คล้ายกับเมื่อตอนที่ราษฎรยุคราชวงศ์หยวนตอนปลายเผชิญหน้ากับ ‘กองทัพหยวน’ และ ‘กองทัพกบฏ’ เล่นเป็น ‘ไพ่สองหน้า’ หรือก็คือ ‘ตีสองหน้า’
ถึงอย่างไร มันก็แตกต่างจากการจัดการแบบปล่อยฝูงแกะของอิ๋งโกวที่ขี้เกียจปกครองจนแม้แต่เซี่ยจื้อยังแทบทนดูไม่ได้ ภายใต้การจัดการอย่างอุตสาหะของไท่ซานฝู่จวินแต่ละรุ่น ที่จริงแล้วได้สร้างกฎนรกที่สมบูรณ์แบบและเป็นระเบียบขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของยมโลกในปัจจุบัน แต่ไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้ายถูกอาคมของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ หายสาบสูญไป กระบวนการต่อมาจึงเป็นเหมือน ‘การวิวัฒนาการอย่างสันติ’
‘คนสองหน้า’ เริ่มแสดงแสนยานุภาพ ก่อตั้งตำหนักนรกทั้งสิบขุม ดูจากภายนอกยมโลกเป็นหน่วยงานปกครองสูงสุด พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์สดับการเมืองหลังม่าน แม้ว่าจะไม่ได้เปิดเผยสักเท่าไร แต่สถานะกลับอยู่เหนือข้อพิพาท
รูปแบบประเภทนี้ได้ก่อตั้งอย่างมั่นคงมาโดยตลอด เรียกได้ว่า นรกทั้งสิบขุมเป็นรากเหง้าของยมโลก แต่ปัจจุบันนี้หากทั้งสายของผิงเติ่งอ๋องแห่งตำหนักเก้าถูกฝังจริงๆ ขึ้นมา อย่างนั้นก็หมายความว่าท้องฟ้าในนรกถูกย้อมด้วยสีเลือดล่วงหน้าแล้ว ก่อนหน้านี้ทนายอันมักจะพูดเสมอว่า ‘ลมพัดแล้ว’ แต่นี่ร้ายแรงและน่ากลัวกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากถึงมากที่สุด
แน่นอน สามารถสงสัยได้ว่าตาเฒ่านี่กำลังโกหก แต่สิ่งที่เขาพกไว้กับตัว แม้จะไม่ใช่วิญญาณขุนนางในตำหนักเก้า แต่ก็คล้ายกับ ‘ป้ายวิญญาณ’ ที่ประชาชนคนทั่วไปใช้กัน
กายสิ้นเต๋าสูญ เหลือเพียงป้ายวิญญาณ!
นี่หมายความว่า ตำหนักเก้าสูญเสียขุนนางน้อยใหญ่ไปอย่างน้อยหลายสิบคน เป็นการรบนองเลือดแบบใดกันที่สามารถทำให้ตำหนักเก้าสูญเสียครั้งใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ ภายใต้หลักฐานยืนยันนี้ คำบอกเล่าของลู่ผิงจื๋อที่ว่าตำหนักเก้าถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว ความน่าเชื่อถือจึงเป็นไปได้สูงมาก
“ต้องตายทั้งหมด…ต้องตายให้หมด…ทุกคนต้องตายให้สิ้น…ต้องตายให้หมด…ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ…”
ลู่ผิงจื๋อถูกโจวเจ๋อต่อยหมัดเดียวพังลายทุกสิ่งอย่าง
ทำลายความกล้าหาญ
ทำลายฟางเส้นสุดท้ายที่จะมีโอกาสรอดไอรีนโนเวล
เขาในเวลานี้จะต้องตาย ดังในเวลานี้เขาจึงไม่ปิดบังซ่อนเร้น ยิ่งไม่วางท่าใดๆ เห็นได้ชัดว่าบ้าบิ่นสุดฤทธิ์
ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงฉาน เหมือนภาวะแสงสุดท้ายของคนทั่วไป “ตายแล้ว…ตาย ตายแล้ว…ตายหมดแล้ว…ตายหมดแล้ว…ข้ารับมอบหมายงาน…ไม่อยู่…กลับมา…กลับมาเก็บ…ป้ายวิญญาณ…ของสหาย…”
ทนายอันสูดหายใจเข้าลึก เรื่องเป็นมาอย่างไรก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว
ตอนนั้นลู่ผิงจื๋อกำลังทำภารกิจข้างนอก ซึ่งคล้ายกับทำงานนอกสถานที่ ดังนั้นเขาจึงโชคดีรอดพ้นหายนะของตำหนักเก้าไป แต่คนที่พอจะมีโชคเช่นเดียวกับเขานั้นคงจะน้อยถึงน้อยมากก็ว่าได้ เมื่อเขากลับไปก็ตกใจที่พบว่าตำหนักราบเป็นหน้ากลอง ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเลือด ลมหนาวหวีดหวิวเรียกขาน
เขากล้าเก็บเพียง ‘ป้ายวิญญาณ’ ของสหายบางส่วนที่อยู่รอบตัว ไม่กล้าหยุดอยู่นานเกินไป รีบคิดหาวิธีหลบหนีมายังโลกมนุษย์ จากนั้นอาศัยวิธีทรมานวิญญาณชั่วที่ก่อกรรมทำเข็ญในชาติก่อนตามที่เขาเชี่ยวชาญตอนอยู่ตำหนักเก้าและเริ่มตัดวิญญาณ นำวิญญาณมาหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูร่างกายตนเอง ต่อมาก็ได้พบกับเถ้าแก่โจวและคนอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบต่อแต้มผลงานแล้ว
โจวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ กลับไม่สนใจไยดีในเรื่องนี้ จะยมโลกหรือไม่ยมโลก จะตำหนักเก้าหรือไม่ตำหนักเก้า เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาขี้เกียจเอาตัวลงไปคลุกคลีเล่นด้วยตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว
สิ่งที่เขาสนใจก็คือ
เขา
อิ๋งโกว
ถูกหลอก!
อีกทั้งยังบรรลุข้อตกลงกับเจ้าปลาเค็มตัวนั้นแล้วด้วย เขาเสียเปรียบแล้ว!
เมื่อนึกถึงตอนที่เขากลับไปและเจ้าปลาเค็มตัวนั้นตื่นขึ้นมา คงจะหัวเราะเยาะเรื่องนี้จนขี้มูกโป่งก็เป็นได้ อิ๋งโกวอึดอัดในใจเหลือเกิน!
ยังดีที่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว สภาพแวดล้อมเงื่อนไขก็ต่างกันด้วย ไม่มีเจ้าผีดิบน้อยแปลกหน้าตนไหนอยากจะฆ่าโจวเจ๋อให้ตาย ไม่อย่างนั้น อิ๋งโกวจะต้องฝืนบังคับสั่งให้คนอื่นฆ่าตัวเองให้ตายอีกครั้งแน่นอน!
ตายแล้วปัญหาต่างๆ ก็จะได้จบไป ถ้าเทียบกับการถูกเยาะเย้ย ความตายเป็นราคาที่ยอมรับได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล