ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 7

ตอนที่ 7 ตกใจจนฉี่ราด!

“ขอโทษครับ”

โจวเจ๋อยกมือขึ้นบอกสัญญาณให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจ เพราะนี่มันเป็นการตบหน้ากันจริงๆ โดยเฉพาะอย่างแรกที่ไม่รู้ว่าทำไม ‘สวีเล่อ’ ลูกเขยจำเป็นคนนี้ถึงได้ไม่เป็นที่ต้อนรับของพ่อตาแม่ยายขนาดนี้

“ไม่สบายเหรอ” หมอหลินวางตะเกียบลงและเอ่ยถาม

“ไม่ได้เป็นอะไร”

โจวเจ๋อหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งแล้วตักข้าวเข้าปาก

แต่ตอนที่เพิ่งเอาเข้าปากยังไม่ทันได้กลืนลงไปนั้น

กระเพาะก็เป็นตะคริวอีกระลอกหนึ่ง ลึกๆ ภายในใจเกิดอาการคลื่นไส้ขยะแขยงอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะกลืนลงไปไม่ใช่ข้าวสวย แต่เป็นอุนจิลูกชายข้าวสวยเสียอย่างนั้น

“พรืด…”

คราวนี้โจวเจ๋อพ่นเม็ดข้าวออกจากปาก

พ่นกระจายใส่หน้าพ่อตาแม่ยายที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเอง

บนหัวและกรอบแว่นของพ่อตาเต็มไปด้วยเม็ดข้าว

บนหัวของแม่ยายก็เต็มไปด้วยแสงประกายสีขาวเป็นดวงๆ

เสียงเคร้งดังขึ้น

ตะเกียบในมือพ่อตาร่วงลงมา หนังหน้ากระตุกอยู่หลายที ดูเหมือนว่าจะยังปรับอารมณ์ไม่ได้ว่าควรใช้อารมณ์แบบไหนเผชิญกับสถานการณ์ในตอนนี้

แต่แม่ยายนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก ความโกรธในแววตานั้นลุกโชน!

นี่มันไม่ไว้หน้ากันชัดๆ!

“ปึง!”

แม่ยายผลักเก้าอี้ที่อยู่ข้างหลังแล้วลุกขึ้นมา

“สวีเล่อ!”

แม่ยายเป็นหัวหน้าพยาบาลที่เกษียณอายุแล้ว ดังนั้นเธอรู้ดีว่าต่อให้คนที่ป่วยก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพ่นข้าวพุ่งเวอร์วังขนาดนี้ อีกทั้งดูลักษณะของสวีเล่อแล้ว ก็ไม่เหมือนกับ ‘อาการโคม่าที่จะตายในเร็วๆ นี้’ อีกด้วย

นี่เขาจงใจชัดๆ

เขาต้องจงใจแน่ๆ!

เขาจะก่อกบฏ!

ก่อกบฏแล้ว!

โจวเจ๋อกุมหน้าอกตัวเองและออกห่างจากโต๊ะอาหาร พุ่งเข้าไปในห้องน้ำเปิดฝาชัดโครกขึ้นแล้วเริ่มอาเจียนออกมาอย่างสุดชีวิต

คราวนี้ แม้แต่น้ำดีก็อาเจียนออกมาด้วย ในปากรู้สึกขมปร่า

ข้าวมื้อนี้กินไม่ได้แล้ว

หมอหลินมองไปที่สวีเล่อที่ยังคงอาเจียนอยู่ในห้องน้ำ และบอกกับน้องสาวไปว่า

“เสี่ยวอี้ เธอไปต้มบะหมี่มาหน่อย”

“อ๋อ ได้”

น้องภรรยาแลบลิ้น เธอก็รู้สึกว่าวันนี้พี่เขยคนนี้เล่นใหญ่ไปหน่อย ขณะนั้นก็ออกจากโต๊ะและไปเตรียมบะหมี่แห้งในห้องครัว

“ไร้เหตุผลสิ้นดี ไอ้เวรตะไลคนนี้!”

พ่อตาตบโต๊ะหนึ่งฉาด เอื้อมมือขึ้นไปถอดแว่นตาสะบัดสองสามที พ่อตาของสวีเล่อเป็นรองคณะบดีที่เกษียณอายุมาก่อน ในวันปกติทั่วไปจะให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และการวางตัวเป็นที่สุด แต่ในวันนี้ได้กระตุ้นขีดจำกัดของเขาเข้าแล้ว

“ฉันจะไปถามเจ้านั่นสักหน่อย บ้านเราทำผิดต่อเขาตรงไหน! ตอนแต่งงานก็ไม่ได้เอาสินสอดของมันมาแม้แต่แดงเดียว แถมยังออกเงินเปิดร้านหนังสือที่ต้องชดเชยหนี้ให้มันอีก เราทำไม่ดีต่อมันตรงไหนกันแน่!”

พ่อตากำลังจะไปที่ห้องน้ำ

“แม่ เก็บกวาดตรงนี้เถอะ เขาไม่สบายน่ะ”

หมอหลินเริ่มเก็บกวาดจานอาหารบนโต๊ะที่แทบจะไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ

“มาถึงขั้นนี้แล้ว หนูก็ยังจะปกป้องมันอีกเหรอ” แม่ยายโกรธจัดถึงกับชี้หน้าลูกสาวและดุ

“แล้วอย่างไรละคะ ใครกันที่บังคับให้หนูแต่งงานในตอนแรกน่ะ” หมอหลินมองไปที่แม่ของตัวเอง ในเวลานี้ ใบหน้าที่สดใสของเธอดูมีความหนักแน่นอย่างน่าทึ่ง

คำพูดจุกปากแม่ยายชั่วขณะ ก็จริง บังคับลูกสาวให้แต่งงานในตอนแรกคือพวกเขา พวกเขารีบร้อนอยากอุ้มหลานชาย ดังนั้นจึงพยายามสรรหาทุกวิถีทางจนได้สวีเล่อลูกเขยจำเป็นคนนี้มา ตอนนั้นแค่คิดง่ายๆ ตัวเองและสามีมีลูกสาวเพียงสองคน ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงจ้างคนแต่งเข้ามา หลานชายก็จะได้ใช้นามสกุลของตัวเอง และพ่อแม่ของสวีเล่อเองก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว ทั้งยังถือว่าจบปริญญาตรีตามเงื่อนไขด้วย

“ไม่กงไม่กินมันแล้ว”

พ่อตาไม่กล้าสบสายตาลูกสาว ตอนแรกเป็นเขาที่คิดตัดสินใจเอาเอง ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ตัวเองต่างหากที่ทำผิดต่อลูกสาว เขายืดตัวขึ้นกลับเข้าห้องหนังสือไป

“เฮ้อ ตาแก่ คุณเป็นโรคกระเพาะนะ” แม่ยายตะโกนอย่างร้อนใจเล็กน้อย

“แม่ เดี๋ยวค่อยยกชามบะหมี่ไปให้พ่อ”

หมอหลินเก็บโต๊ะเสร็จแล้ว จากนั้นเดินไปทางห้องน้ำ

แม่ยายมองตามหลังลูกสาว สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

เมื่อผลักประตูกระจกของห้องน้ำ หมอหลินเห็นโจวเจ๋อคุกเข่าอยู่ข้างๆ ชักโครก มือหนึ่งจับขอบโถชักโครกและอีกมือหนึ่งก็กุมหน้าอกตัวเอง

“ไม่สบายเหรอ”

“ยังโอเคอยู่” โจวเจ๋อตอบ ก่อนจะทานข้าวตัวเองยังดีๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้ว่ากำลังจะทานเข้าไปก็กลายเป็นอย่างนี้ไปซะแล้ว

“ฉันให้เสี่ยวอี้ทำบะหมี่ให้แล้ว เดี๋ยวคุณค่อยไปทาน…”

“แหวะ…”

เมื่อนึกถึงบะหมี่ โจวเจ๋อรู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรงจากส่วนลึกของใจอีกครั้งจากนั้นก็เริ่มอาเจียนออกมาอีก

หลินหวั่นชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ไปโรงพยาบาลไหม”

“ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร ผมไม่ทานแล้ว”

โจวเจ๋อโบกมือไหวๆ และลุกขึ้นมาอย่างฝืนใจเสียไม่ได้ ตรงไปริมอ่างน้ำเพื่อบ้วนปากล้างหน้า

มื้อเย็นวันนี้ ถูกกำหนดให้ไม่มีความสุข

พ่อตาแม่ยายและน้องภรรยาพักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ห้องนอนของโจวเจ๋อและหลินหวั่นชิวอยู่ที่ชั้นสอง

หลังจากที่โจวเจ๋อทำความสะอาดเสร็จแล้วก็ถือโอกาสอาบน้ำ และเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไหนก็เลยไม่เปลี่ยนมันซะเลย ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าชุดก่อนหน้านี้และเดินขึ้นไปชั้นสองพร้อมกับผมเผ้าเปียกซ่ก เพิ่งจะพ้นปากบันไดก็พบว่าหลินหวั่นชิวกำลังอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นสอง

โจวเจ๋อยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำครู่หนึ่ง พลางมองร่างสะโอดสะองที่สะท้อนเป็นรูปเงาออกมาและเลียริมฝีปากเบาๆ

ในเวลานี้ผู้คนมักมีอารมณ์ชั่ววูบที่สุดและแน่นอนว่าพวกเขารู้สึกซาบซึ้งที่สุดในเวลานี้เช่นกัน

‘ขอบใจนายมาก’

โจวเจ๋อเอ่ยขึ้นในใจเงียบๆ

ในสองวันมานี้ตั้งแต่ยืมซากศพคืนชีพนี่เป็นครั้งแรกที่โจวเจ๋อชมสวีเล่อคนดวงซวย

ถึงแม้ว่านายจะทิ้งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่บัดซบสุดๆ ไว้ให้ก็ตาม แต่ภรรยาของนายแจ่มจริงๆ

ตามด้วยจินตนาการเล็กน้อย ความตื่นเต้น ความอดทนและความคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ

โจวเจ๋อผลักประตูห้องนอน

จากนั้นสีหน้าของโจวเจ๋อเปลี่ยนไปครู่หนึ่งและกัดเม้มริมฝีปาก

ลากเจ้าสวีเล่อที่ตัวเองเพิ่งจะชมในใจไปหยก ๆ ออกมาแล้วเฆี่ยนอย่างบ้าคลั่งสักหมื่นรอบ

ห้องนอนตั้งใหญ่โต มีเตียงขนาดใหญ่

ข้างๆ เตียงใหญ่ยังมีที่นอนปูพื้นอีก!

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ขนาดคนโง่ยังรู้เลย!

เจ้าคนนั้นสมองกลับใช่ไหมเนี่ย

เจ้าคนนั้นโง่เง่าหรือเปล่า

เป็นลูกเขยจำเป็นอย่างนายมีประโยชน์อะไรกันแน่

โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ สามทีติดต่อกัน จากนั้นนอนลงบนที่นอนปูพื้นอย่างเงียบๆ

นอนเถอะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล