ตอนที่ 816 จู่โจม!
โจวเจ๋อวางสายโทรศัพท์ และโยนโทรศัพท์ไว้บนโซฟาข้างๆ สาวน้อยโลลิยกจานผลไม้มาเสิร์ฟบนโต๊ะรับแขกด้านหน้าโจวเจ๋อ ชี้ไปที่ผลไม้บนนั้น พลางพูดว่า “กินสิ”
โจวเจ๋อไม่สนใจ ตอนนี้เขามีกะจิตกะใจกินที่ไหนเล่า บวกกับปกติเถ้าแก่โจวเจ๋อไม่มีนิสัยกินผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่อิงอิงที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อกลับหยิบส้มมาปอกแล้วใส่ปากตัวเอง
สาวน้อยโลลิเห็นฉากนี้จึงหรี่ตาลง
“เขาจัดการเรียบร้อยแล้วสินะ” สาวน้อยโลลิมองโจวเจ๋อต่อและถามขึ้น
“เฮอะ ผู้ชายของคุณเก่งเหลือเกิน”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ มันไม่ดีต่อเด็กน้อย”
โจวเจ๋อเหลือบมองสาวน้อยโลลิ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่หนึ่ง บอกว่าเก่ง เธอก็เข้าใจว่าเก่งจริงๆ “ไม่นะ เก่งจริงๆ จับโจรไม่ได้ แต่กลับกวาดคนจับโจรเรียบไม่มีเหลือ”
แม้แต่ตอนนี้ เถ้าแก่โจวก็ยังทำอะไรไม่ถูกอยู่เล็กน้อย เดิมทีนึกว่าเรื่องราวจะราบรื่น ฝั่งเด็กชายก็ส่งข่าวชัยชนะมาเรื่อยๆ ใครจะรู้ว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นแบบนี้
เถ้าแก่โจวไม่รู้ว่าเวลานี้เขาควรโทษเด็กชายที่มุทะลุเกินไป หรือว่าควรจะตำหนิยมทูตของยมโลกที่ขึ้นมาช่วยจับคนทีละคนว่าไร้ประโยชน์ดีล่ะ ต่อให้เป็นหมูสองสามตัวก็ยังต้องใช้เวลาถึงจะจับได้ แต่ปรากฏว่าคนกลุ่มนี้กลับถูกกำจัดด้วยวิธีที่ง่ายและหยาบคายที่สุดหมดทั้งคอก
“เอ๊ะ” สาวน้อยโลลิตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูด “ฆ่าผิดตัวหรือ”
“อืม”
“งั้นฆ่าหมดแล้วหรือ” สาวน้อยโลลิถาม
โจวเจ๋อพยักหน้า เขาวางสายไปดื้อๆ แล้ว หากเด็กชายยังไม่เข้าใจความหมายที่เขาสื่ออีกละก็ อย่างนั้นเจ้านั่นก็ควรย้อนกลับไปผ่านการศึกษาภาคบังคับเก้าปีในป่าในเขาอีกรอบแล้วละ
“เฮ้อ…” สาวน้อยโลลิถอนหายใจโล่งอก พูดด้วยความยินดี “งั้นค่อยยังชั่ว”
โจวเจ๋อส่ายหน้า
อันที่จริง แม้ว่าเรื่องนี้จะวุ่นวายเพราะเข้าใจผิด แต่ในเมื่อมันวุ่นวายแล้วก็ปล่อยให้มันวุ่นวายต่อไป ขอแค่เก็บกวาดตอนจบเสียหน่อย ลบฝ่ายตัวเองออกให้หมดจดก็จบปัญหาแล้ว ถึงอย่างไรก็มีแพะรับบาปรออยู่แล้ว อีกทั้งในเมื่อยมโลกส่งคนพวกนี้ขึ้นมาตรวจสอบและติดตามแกะรอย ทางฝั่งยมโลกคงจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับความตายอันมีเกียรติของพวกเขาแล้ว
เพียงแต่เป้าหมายต่อไปยังคงเป็นการจับผู้แปรพักตร์เหล่านั้น เพราะแม้ว่าเจ้าหน้าที่ทางการในยมโลกอาจจะมีข้อบกพร่องหลากหลายอย่าง แต่อย่างน้อยก็มีหน้ามีตา พวกเขาไม่ถึงขั้นแหกกฎเพื่อทำอะไร แต่กลุ่มผู้แปรพักตร์นั้นต่างออกไป
เถ้าแก่โจวเคยชินกับการใจดีมีน้ำใจต่อผู้อื่นแล้ว ไม่อยากให้ชีวิตของเขามีดวงตาจับจ้องตัวเขาหรือหนังสือรับรองยมทูตในมือของเขาอยู่ในเงามืดเพิ่มมาสองสามคน
“อิงอิงคุณกลับไปร้านหนังสือก่อน คาดว่าสองสามคนนั้นนั่งรถไฟความเร็วสูงมาแล้ว คุณจัดการต้อนรับหน่อย”
“เจ้าค่ะ เถ้าแก่”
อิงอิงไปล้างมือในห้องน้ำ จากนั้นก็เดินออกจากบ้านหลังนี้ไป ส่วนโจวเจ๋อยังคงนั่งหลับตาครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่บนโซฟา
จริงๆ แล้วเขาขี้เกียจขบคิดเรื่องแบบนี้มาก เพราะภายใต้สถานการณ์ส่วนใหญ่ การคิดเป็นเพียงกระบวนการระงับความรู้สึกและบรรเทาความทุกข์ในใจตนเองอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วต้องการหาทางทำลายสถานการณ์จริงๆ อัตราความสำเร็จนั้นต่ำมาก
มันไม่เหมือนกับการทำโจทย์คณิตศาสตร์ในโรงเรียน ถ้าสามารถเผชิญหน้าและรับมือกับชีวิตและพายุที่เผชิญในชีวิตได้เหมือนกับทำโจทย์คณิตศาสตร์ ก็คงจะดีมากทีเดียว
“มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับยายผีดิบโง่นั่นใช่ไหม” เวลานี้สาวน้อยโลลิเข้ามาถามก่อน
“พ่อคุณล่ะ” โจวเจ๋อถาม
“ทำงานน่ะสิ อยู่ในคลินิกเขาละมั้ง แม่ข้าไปเสริมสวยน่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้า เปลี่ยนหัวข้อได้สมบูรณ์แบบ
“จะว่าไป ตอนนี้นางกินอะไรได้แล้ว แล้วเจ้าเตรียมจะกินนางเมื่อไรล่ะ”
“คุณกับเสี่ยวฟาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็แบบนั้นแหละ ใกล้ชิดก็ไม่ใช่ห่างเหินก็ไม่เชิง ไม่ต่อต้าน ไม่คัดค้าน ไม่เข้าใกล้ แค่รักษาสภาพที่เป็นอยู่ และมองดูอย่างช่วยไม่ได้”
“คุณกำลังพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงหรือความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่ง[1]น่ะ”
บทสนทนาก็จบลงไปเช่นนี้
โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นไปเรื่อยๆ
สิบห้านาทีผ่านไป สาวน้อยโลลิเงยหน้าขึ้นมองโจวเจ๋ออีกครั้งและพูดว่า “ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก”
“คุณจะไปเมื่อไร”
“ข้ารอเขากลับมาแล้วค่อยกลับร้านหนังสือพร้อมกัน”
ในช่วงเวลาอันตรายนี้ ในเมื่อยมทูตคนอื่นๆ ยังต้องกลับไปหลบภัยที่ร้านหนังสือ เป็นธรรมดาที่สาวน้อยโลลิไม่โง่ที่จะต่อต้านอะไร หรือตะโกนงอแงว่าทิ้งพ่อแม่ทิ้งชีวิตเด็กประถมไปไม่ลงอะไรพรรค์นี้
โลกจะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ใหญ่สู้ชีวิตตัวเองไม่ได้ เธอไม่อยากรอให้คนมาฆ่าตายถึงที่อย่างโง่เง่าหรอกนะ
“ผมก็เหมือนกัน” โจวเจ๋อพูด
สาวน้อยโลลิขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นดูเหมือนจะเข้าใจอะไรแล้ว พร้อมกับยืนขึ้นจากพรมแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าหน้าที่สืบสวนปรากฏตัวใกล้บ้านข้า เช่นนั้นก็หมายความว่า เป้าหมายของการสืบสวนของเขาก็เคยมาโผล่อยู่ใกล้บ้านข้าด้วยใช่ไหม”
“ไม่เลว เป็นเด็กประถมมาตั้งนาน แต่ยังไม่ถึงขั้นคิดว่าตัวเองเป็นเด็กประถมจริงๆ” โจวเจ๋อหยิบน้ำบนโต๊ะรับแขกขึ้นมาจิบ แล้วพูดต่อ “ผมเป็นห่วงว่าพอผมก้าวเท้าออกไป คุณก็จะโดนฆ่าหั่นศพแล้วยึดหนังสือรับรองยมทูตไปทันทีน่ะ”
หากเป็นอย่างนี้จริงๆ มันก็อำมหิตเกินไปแล้ว แต่ความเป็นจริงได้สอนผู้คนมานับครั้งไม่ถ้วน และมันมักจะอำมหิตยิ่งกว่าโครงเรื่องในละครทีวีเสียอีก
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่งใช่หรือเปล่า” สาวน้อยโลลิวางมือบนหน้าอก แล้วโบกกำปั้นน้อยๆ “เถ้าแก่เยี่ยมมากเลย”
“เอาละๆ คุณทำตัวน่ารักต่อหน้า ผมแค่รู้สึกว่ามันแปลกมาก กระทั่งน่าสะอิดสะเอียนนิดหน่อย”
ทั้งๆ ที่อายุอานามปาเข้าไปมากขนาดนี้แล้ว แค่มาอยู่ในร่างเด็กน้อยก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยจริงๆ อีก นี่มันเป็นรสนิยมแย่ๆ แบบไหนกันเนี่ย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล