ซ่งฉงปิงสลบไปแล้ว ดังนั้นการเดินทางของพวกนางจึงดำเนินต่อไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ฉีเทียนเห้าจึงพาซ่งฉงปิงกลับไปที่สวนเพลิน
โดยที่หมอจากในวังวินิจฉัยว่าซ่งฉงปิงถูกพิษกู่
นอกจากนี้ยังเป็นพิษกู่หายากที่เรียกว่ากู่หวางวิญญาณ
พิษกู่นี้เลวร้ายอย่างหาใดเปรียบ ผู้ที่ถูกพิษกู่ดูเผินๆ จะไม่แตกต่างจากคนอื่น แต่จะค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ
เมื่อรู้เรื่องของพิษกู่นี้ ฉีเทียนเห้าก็ตัวแข็งเป็นรูปปั้นหิน
ไม่ว่าใครจะเรียกเขาหรือพูดอะไรกับเขา เขาก็ไม่สนใจทั้งสิ้น เขาทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างเตียง จ้องมองใบหน้าของซ่งฉงปิงโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เป็นแบบนี้จนกระทั่งเวลาผ่านไปสองวันสองคืน
ฉีเทียนเห้ายังคงนิ่งไม่ไหวติง และซ่งฉงปิงก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นขึ้นมา ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขากังวลเป็นอย่างมาก
พอถึงเช้าวันที่สาม หนานซิงกับหนานเฉินจึงพบว่าฉีเทียนเห้าหายไป
คราวนี้พวกเขายิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
เพราะพวกเขารู้ดีว่าฉีเทียนเห้าไม่มีทางทิ้งซ่งฉงปิงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ชั่วขณะนั้นภายในสวนเพลินก็วุ่นวายขึ้นมา
แต่ในตอนนั้นฉีเทียนเห้าผู้ทำให้เกิดความวุ่นวายกลับไปยังที่พักของแม่มดกู่
เพียงแต่ขณะที่ฉีเทียนเห้ากำลังคุกเข่าอยู่ในลานบ้านของแม่มดกู่ ประตูเรือนของแม่มดกู่กลับปิดสนิท
เวลานี้ใบหน้าของฉีเทียนเห้าซีดเผือด แต่เขาก็ยังคงคุกเข่าตัวตรง
เขาคุกเข่าตลอดทั้งคืน
ในที่สุด ประตูเรือนของแม่มดกู่ก็เปิดออก
แม่มดกู่ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นฉีเทียนเห้าคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน นางเพียงแค่เหลือบมองฉีเทียนเห้านิดหนึ่งเท่านั้น
“ในเมื่อมาแล้วก็ช่วยข้าทำอะไรสักหน่อยเถอะ” แม่มดกู่เอ่ยเรียบๆ จากนั้นจึงเริ่มล้วงหม้อดินของนาง ปากก็รำพันว่า “คนหนุ่มสาวน่ะ จะอยู่ว่างเกินไปไม่ได้”
ฉีเทียนเห้าหยุดนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปหาแม่มดกู่
ต่อมาฉีเทียนเห้าจึงเห็นว่าในหม้อดินของแม่มดกู่มีหนอนแมลงอยู่นานาชนิด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนอนแมลงเหล่านี้เอาไว้ทำสิ่งใด” แม่มดกู่ถาม
ฉีเทียนเห้าไม่ตอบ และดูเหมือนแม่มดกู่ก็ไม่สนใจเหมือนกันว่าฉีเทียนเห้าจะตอบหรือไม่ นางเพียงแค่พูดกับตัวเองว่า “กู่นี่ ไม่ใช่ทุกตัวที่เกิดจากกู่และโตด้วยการเลี้ยงของกู่ มีบางส่วนเป็นกู่ที่ล้ำค่า ทั้งหมดคือหนอนแมลงที่กินหนอนแมลงด้วยกัน กินกันไปอีกก็จะกลายเป็นราชากู่”
“ราชากู่ช่วงชิงกันและจะได้ราชากู่ตัวใหม่ ราชากู่ตัวใหม่นี้ก็คือกู่พิษ”
“แต่ว่า ถ้ากู่เหล่านี้รักกัน มันก็จะให้กำเนิดกู่ตัวใหม่ ถึงตอนนั้น ราชากู่แบบนั้นจะเรียกว่าสายพันธุ์กู่”
ฉีเทียนเห้ารับฟังและคิดจะหาข้อมูลบางอย่างจากคำพูดเหล่านี้ แต่เขาก็หาไม่พบ ดังนั้นเขาจึงถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “กู่หวางวิญญาณมีที่มาอย่างไร”
แม่มดกู่ชะงักมือไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยิน จากนั้นนางจึงปิดฝาหม้อดิน
บนหม้อดินทุกใบล้วนมีรูเล็กๆ หนึ่งรูอยู่บนนั้น ซึ่งน่าจะเป็นรูช่องลมของหม้อดิน
แม่มดกู่เข้าไปในเรือนของนาง
ฉีเทียนเห้าเดินตามเข้าไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
แม่มดกู่นำกู่ตัวเล็กออกมาจากกล่องหนึ่งตัวราวกับกำลังถือสมบัติ
มันเป็นสีดำทั้งตัว ดำแบบดำเป็นมันเงา
ฉีเทียนเห้ามองดูโดยไม่ขมวดคิ้ว
ในตอนนี้เขารู้ว่าไม่มีใครช่วยชีวิตปิงเอ๋อร์ของเขาได้ นอกจากแม่มดกู่ที่อยู่ตรงหน้า
กู่เหล่านี้ไม่ได้น่ากลัวอะไรนักเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของปิงเอ๋อร์
แม่มดกู่ส่งกล่องนั้นให้ฉีเทียนเห้า
ฉีเทียนเห้ามองโดยไม่ไหวติง
แม่มดกู่เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “รับไป”
ฉีเทียนเห้าเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงต้องยื่นมือออกไปรับ
“กินซะ” แม่มดกู่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
ฉีเทียนเห้าไม่ได้กินตามคำบอกและเพียงแค่มองไปที่แม่มดกู่
เขากำลังรอให้นางอธิบายให้กระจ่าง
“ถ้าอยากให้นางมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องกินสายพันธุ์กู่นี้” ชัดเจนแล้วว่าสายพันธุ์กู่นั่นหมายถึงกล่องที่อยู่ในมือของฉีเทียนเห้า
“แน่นอน จะกินหรือไม่นั่นขึ้นอยู่กับเจ้า” แม่มดกู่เอ่ยเบาๆ และมองสายตาของฉีเทียนเห้าราวกับว่าตอนนี้กำลังจะทดสอบเขา
แต่ฉีเทียนเห้าไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ
และไม่ได้ทำอะไรเลย
เขาแค่ถามว่า “หลังจากที่ข้ากินกู่ตัวนี้ ข้าจะทำสิ่งใดได้บ้างจึงจะช่วยนางได้”
แม้ว่าหัวใจของเขาจะดูเหมือนตายไปแล้ว แต่สมองของเขายังคงอยู่
เขาไม่สามารถกินสิ่งที่คนอื่นบอกให้เขากินได้
นอกจากนี้ยังไม่ต้องให้ใครมาทดสอบเขา
สำหรับเขา เรื่องเหล่านี้ไม่ได้สำคัญเลย
สิ่งสำคัญก็คือปิงเอ๋อร์จะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่
ไม่ได้สำคัญเลยว่าถ้าเขากินไปแล้วจะเกิดอะไรผิดปกติขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าเขากินไปแล้วแล้วปิงเอ๋อร์ยังมีชีวิตต่อไปไม่ได้ แบบนั้นจะไม่ได้หมายความว่าเขากินไปเสียเปล่าหรอกหรือ
ดังนั้นเขาจึงต้องถามให้กระจ่าง
แม่มดกู่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น
“เจ้าไม่กลัวว่าเจ้าจะตายรึถ้าเจ้ากินกู่ตัวนี้” แม่มดกู่ถาม
เพราะฉีเทียนเห้าแค่ถามว่าจะช่วยซ่งฉงปิงได้อย่างไร แต่ไม่ได้ถามเผื่อตัวเขาเอง
นางมีชีวิตอยู่มาหลายปีและได้พบเจอผู้คนมามากมาย
ลุ่มหลง ไร้น้ำใจ รักง่าย เคยเห็นมาทุกอย่าง
แต่ไม่เคยมีใครที่ยังสงบได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายของตัวเองเช่นนี้... โอ๊ะ ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอยู่อีก...
ดูเหมือนแม่มดกู่จะจมดิ่งอยู่ในความทรงจำของตนเอง
ฉีเทียนเห้าร้อนใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่กล้าขัดจังหวะขณะที่แม่มดกู่กำลังคิด กังวลว่าคำพูดของเขาจะไปขัดจังหวะความคิดของหญิงชราและทำให้หัวข้อเปลี่ยนไปอีกครั้ง
หลังจากติดต่อกันมาหลายครั้ง ฉีเทียนเห้าก็รู้ได้ว่าแม่มดกู่เป็นคนที่ ‘ไม่น่าเชื่อถือ’
หากไม่ใช่เพราะนางเป็นทางออกเดียวที่เขาคิดได้ ตอนนี้เขาคงไม่มาเสียเวลายืนอยู่ที่นี่
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ แม่มดกู่ก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและมองไปที่ฉีเทียนเห้า
“ถ้าอยากจะช่วยนาง เจ้าต้องกินสายพันธุ์กู่ลงไป หลังจากกินสายพันธุ์กู่นี้...”
พูดมาถึงตรงนี้แม่มดกู่ก็หยุดอีกครั้ง
จากนั้นแม่มดกู่จึงเปลี่ยนสีหน้า นางโบกมือและเอ่ยว่า “เจ้าไปได้แล้ว”
ฉีเทียนเห้าตกใจมากเมื่อได้ยินดังนั้น ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
แม่มดกู่เริ่มไล่คนอีกแล้ว จากประสบการณ์ที่มี สิ่งนี้หมายความว่านางไม่คิดจะพูดอะไรอีกแล้ว
คิดได้ดังนี้ ฉีเทียนเห้าก็ร้อนใจขึ้นมา
ฉีเทียนเห้าคุกเข่าลงเสียงดังตุ้บ
“ขอร้องท่านละ ท่านยาย...” เสียงของฉีเทียนเห้าตะกุกตะกักเพราะความร้อนรน
เวลานี้เขากลัวจริงๆ
เขากลัวว่าพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายของปิงเอ๋อร์จะหมดลงไป
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแม่มดกู่จะหูหนวกและไม่สนเลยว่าฉีเทียนเห้าจะอ้อนวอนอย่างไร แม่มดกู่ยังคงนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่สนใจในความตั้งใจของฉีเทียนเห้าเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าจะเดินผ่านฉีเทียนเห้าอยู่หลายครั้ง แม่มดกู่ก็ทำเหมือนว่าฉีเทียนเห้าเป็นเพียงเครื่องไม้ประดับตกแต่งเรือน
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แม่มดกู่ยังนำผ้ามาวางลงบนกวานของฉีเทียนเห้าหลังจากล้างมือเสร็จ ราวกับว่าตรงนี้เป็นแท่นไม้ที่นางใช้แขวนผ้า
ฉีเทียนเห้าเฝ้ามองขณะที่เขาถูกเพิกเฉย และสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ สงบลง
ฉีเทียนเห้าก้มมองหนอนพิษกู่ในกล่อง
หลังจากนั้นจึงอ้าปากและกลืนมันเข้าไปโดยไม่ลังเล
มีเสียงดังปึง เป็นเสียงของกล่องที่ตกลงไปบนพื้น
คราวนี้แม่มดกู่หันกลับมามองฉีเทียนเห้าทันทีที่ได้ยินเสียง
ทันใดนั้นใบหน้าที่แก่ชราก็เปลี่ยนสีไปอย่างฉับพลัน...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง
ตอนที่ 19 - 20 หาย...
เรื่องนี้เคยลงจนจบแล้วหายไปไหนหมด เคยลงในreaderaz...