แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์ นิยาย บท 1

            ตอนที่ 1 จิตใจอันชั่วช้า

“ได้ยินว่าท่านอ๋องฉินสิ้นพระชนม์ในสมรภูมิรบแล้ว แต่คุณหนูแห่งจวนโหวยังแต่งเข้าจวนอ๋องอีก แสดงว่าต้องเป็นแม่หม้ายสิท่า”

“เป็นแม่หม้ายก็ดีกว่าไม่มีผู้ใดเอากระมัง คุณหนูแห่งจวนโหวอัปลักษณ์ แต่งตัวเฉิ่ม และยังไร้การศึกษาอีก ไม่ต่างอะไรจากพวกเหลือเดนเลย ไม่มีบุรุษในเมืองหลวงคนใดอยากสู่ขอนางสักคน นางมีโอกาสแต่งเป็นพระชายาของท่านอ๋องฉิน ผู้ปรีชาสามารถก็นับว่าสวรรค์ประทานแล้ว”

“คนในจวนอ๋องตั้งกฎกับนางแล้ว ให้นางทำพิธีคารวะฟ้าดินกับไก่ตัวผู้”

“คารวะฟ้าดินกับไก่ตัวผู้ เรื่องเยี่ยงนี้ไม่เคยมีมาก่อน นางจะยอมหรือ?”

“นางจะยินยอมหรือไม่ นางก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ มารดานางเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ส่วนบิดาก็ไม่เอ็นดู คนขี้เหร่เช่นนางไม่กล้าฝ่าฝืนพระบัญชาฮ่องเต้หรอก”

ท่ามกลางเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ เจียงเว่ยหว่านค่อยๆลืมตาอันสุกใสอันสะลึมสะลือ ผ้าคลุมหัวสีแดงบดบังการมองเห็นของนาง เมื่อนางดึงผ้าคลุมมงคลออก สิ่งที่ปรากฎสู่สายตาก็คือโลกสีแดง

เช่นเกี้ยวเจ้าสาวสีแดง ชุดเจ้าสาวสีแดง และผ้าไหมสีแดงเต็มทั่วบริเวณ

เจียงเว่ยหว่านปวดหัวแทบระเบิด มองสิ่งแวดล้อมรอบกายด้วยความฉงนสนเท่ห์ นางมองไปทางไหนก็มีแต่วัตถุสีแดง นี่นางอยู่ไหนกัน? และแล้วความทรงจำที่ไม่ใช่ของนางก็ประเดประดังเข้ามาอัดแน่นอยู่ในสมองของนาง

นางทะลุมิติมา...

แล้ววิญญาณเข้าสิงร่างดรุณีน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ ไร้มารดาเมื่อยังแบเบาะ บิดาก็ไม่เหลียวแล สุดท้ายถูกบังคับให้แต่งงานกับท่านอ๋องฉินผู้ล่วงลับไปแล้ว

ดูผิวเผินคือให้นางเป็นแม่หม้าย แต่ความจริงแล้วต้องการฝังนางไปพร้อมกับศพท่านอ๋องฉินต่างหาก

ช่างมีจิตใจที่ชั่วช้าเสียจริง!

เจ้าของร่างเดิมยอมรับบิดาผู้โหดร้ายไม่ได้ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องตายอยู่ดี นางจึงตัดสินใจกัดลิ้นตัวเองตายในเกี้ยวเจ้าสาวเสียเลย

นี่เป็นนวนิยายน้ำเน่าอะไรกันเนี่ย?

นางเป็นถึงอัจฉริยะการแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนของยุคโลกาภิวัตน์ นางกำลังคิดค้นสูตรยาตัวใหม่ให้กับประเทศชาติ และเสียชีวิตอย่างฉับพลันตอนที่ทำงานล่วงเวลา จากนั้นก็มาอยู่ในร่างเจียงเว่ยหว่าน ผู้ที่มีชื่อและนามสกุลเดียวกับนาง

เซียวจิ้งเป่ยที่มีบรรดาศักดิ์เป็นท่านอ๋องฉินไม่ใช่คู่ครองที่ดีของเจียงเว่ยหว่านคนก่อนแน่

เขาไม่ลุ่มหลงในกาม ลือกันสนั่นหวั่นไหวว่ามีคนส่งบุตรีเข้าจวนอ๋องเพื่อประจบประแจงเขา ทว่าเขากลับส่งแม่นางผู้นั้นไปยังหอคณิกา

เขาเป็นคนมีอุปนิสัยโหดเหี้ยม บ้าเลือด ทั้งยังเป็นคนยโสโอหัง คนในเมืองหลวงล้วนกลัวเขาทั้งสิ้น แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องยำเกรงเขา

บุรุษประเภทนี้ไม่ใช่ชายในฝันของนาง แม้นท่านอ๋องฉินยังมีชีวิตอยู่ เขาก็คงไม่ชอบนางที่ถูกเบื้องบนคลุมถุงชนแน่ และนางก็ไม่อยากร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เขาเสียชีวิตแล้วอีกต่างหาก

เจียงเว่ยหว่านอยากหลบหนี ทว่าเมื่อดูความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแล้ว ประเทศที่ชื่อจักรวรรดิคุนเข้มงวดด้านสถานะมาก หากนางออกจากจวนอ๋อง นางก็จะไม่ได้ใช้สถานะทางทะเบียนบ้านของตัวเองอีกต่อไป

และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะกลับไปอาศัยในจวนโหวด้วย

ซ้ำร้ายยังเป็นพระราชทานสมรสด้วย ใต้หล้านี้เป็นของฮ่องเต้ เจ้าของร่างเดิมจึงหาทางหนีทีไล่ไม่เจอ

เมื่อนางดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน นางจำต้องไหลไปตามน้ำ แต่งเข้าจวนอ๋องก่อน ไว้เรืองอำนาจเมื่อใด นางค่อยหาทางออกอีกที

ระหว่างที่เจียงเว่ยหว่านกำลังคิดใคร่ครวญก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของแม่สื่อ

“พระชายาเสด็จมาถึงแล้วหรือเพคะ”

เมื่อแหวกม่านเกี้ยวเจ้าสาวออก แสงตะวันพลันส่องใบหน้าแสยะยิ้มด้วยความดูถูก

เจียงเว่ยหว่านยังตอบสนองไม่ทันก็เห็นไก่ตัวผู้พันผ้าสีแดงชาดอยู่หน้าเกี้ยวเจ้าสาว ถือเป็นการต้อนรับนาง

“รับเจ้าสาวเข้าจวนเพื่อคารวะฟ้าดิน”

เสียงประกาศดังกึกก้องจนไก่ตัวผู้ตกใจเปล่งเสียง ‘เอ้กอี๊เอ้กเอ๊ก’ออกมา หงอนไก่สีแดงประหนึ่งเปลวไฟตั้งตระหง่าน

แม่สื่อที่ยืนด้านข้างมองเจียงเว่ยหว่านด้วยความลำบากใจ แววตาเปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ

เลขานุการแห่งจวนอ๋องยืนหน้าประตูจวนสีแดงที่เปิดกว้าง กำลังมองนางด้วยใบหน้าเงียบขรึม สายตาที่กำลังสำรวจนั้นมีความเข้มขรึมเล็กน้อย

แขกเหรื่อกำลังรอเจียงเว่ยหว่านจับผ้าบนตัวไก่ตัวผู้แล้วเข้ามาทำพิธีคารวะฟ้าดินในจวน

ทั้งๆที่เป็นงานมงคล ทว่าบรรยากาศรอบด้านกลับตึงเครียดจนน่ากลัว เพราะมีแต่ความเงียบงันปกคลุมทั่วพื้นที่

เจียงเว่ยหว่านตระหนักได้ว่าจะทำตามผู้อื่นโดยไม่มีข้อแม้ไม่ได้ นางมองไก่ตัวผู้ตรงหน้าแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “มีอย่างที่ไหนให้ไก่ตัวผู้มารับข้า?”

แม่สื่อไม่ส่งเสียงพูด บ่งบอกว่านางเองก็จนปัญญา ลอบมองฝูงชนบนขั้นบันได

ส่วนคนในจวนอ๋องได้ยินสิ่งที่นางกล่าวแล้วก็ยังทำเป็นหูทวนลม ยืนดูความครื้นเครงตรงบันไดด้วยใบหน้าเย็นชา

เจียงเว่ยหว่านกำหมัดแนบแน่น พวกบ่าวไพร่ของจวนอ๋องไม่เห็นหัวนางเลยสักนิด

นางเดินลงจากเกี้ยวอย่างเอ้อระเหย มงกุฎหงส์และผ้าคลุมไหล่สีแดงเข้มขับเน้นให้เรือนร่างของนางอรชรอ้อนแอ้นยิ่งขึ้น เมื่อแสงอาทิตย์ส่องบนกาย ทุกอิริยาบถของนางก็ยิ่งงดงามตรึงใจมากขึ้น แม้นสองพวงแก้มจะมีกระอย่างเด่นชัด ทว่าก็ไม่กระทบต่อความสง่างามของนางเลย

แม่สื่อเคยเจอเจียงเว่ยหว่านมาก่อน บัดนี้เห็นอีกฝ่ายสุขุมแลสง่างามก็แอบคิดในใจว่าคุณหนูใหญ่เจียงเปลี่ยนไป

เจียงเว่ยหว่านยืนหน้าไก่ตัวผู้อย่างสง่าผ่าเผย ราวกับว่าไก่ตัวผู้สัมผัสถึงความไม่สบอารมณ์ของนางได้ มันไม่กล้าส่งเสียงขันอีก หันมากุลีกุจอกับการจิบขนของตัวเอง

ดวงตาอันงามพิสุทธิ์ของเจียงเว่ยหว่านมองผู้คนรอบกาย พลางรู้ว่าทุกคนกำลังรอหัวเราะเยาะนางอยู่ ทว่านางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นอีก

นางไม่ใช่เจียงเว่ยหว่านคนเก่าที่อ่อนแอและข่มเหงรังแกง่าย

นางคือแพทย์เซียนที่ช่ำชองทางแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

นางละสายตาจากผู้คน จากนั้นดวงตาสุกใสงดงามมองไปยังดาบบนเอวทหารคุ้มกันที่ยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ

นางเดินย่างสามขุมไปยังตรงตรงทหารคุ้มกัน จากนั้นก็ชักดาบออกมา แสงระยิบระยับจากดาบแยงตายิ่งนัก

“พระชายาจะทำสิ่งใดเพคะ?” แม่สื่อตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนตกตะลึงอ้าปากพะงาบๆ มองนางด้วยความตะลึงงันแล้วผ่อนลมหายใจ ก่อนจะพากันชี้นิ้ววิจารณ์นาง

“นางคิดจะทำกระไร? ไม่ใช่บอกว่านางเป็นคนซื่อ กระทั่งมดก็ไม่กล้าเหยียบ ไฉนจึงกล้าคว้าดาบได้?”

“ใครจะไปรู้ นางคงไม่คิดจะฆ่าตัวตายหรอกกระมัง”

เลขานุการโจวแห่งจวนอ๋องหรี่ตาลงเล็กน้อย มองสตรีผู้องอาจต่อหน้าแล้วตั้งคำถามในใจว่า ไม่ใช่บอกว่าคุณหนูแห่งจวนโหวขี้ริ้วขี้เหร่ แต่งตัวล้าสมัย และใจเสาะหรอกหรือ?

หรือข่าวลือจะไม่มีมูลจริง?

แล้วนางคิดจะทำสิ่งใด?

ฆ่าไก่ตัวนี้หรือ?

เลขานุการโจวกลั้นลมหายใจ พลางมองสตรีผู้สง่างามใต้ตะวันสีทอง

จากนั้นก็เห็นนางถือดาบอันคมกริบแล้วเดินทอดน่องไปยังไก่ตัวผู้ที่พันผ้าไหมสีแดงไว้

เมื่อฟันดาบลงไป ไก่ตัวผู้ตกใจกระพือปีกบินพึ่บพับ เวลาเดียวกันผ้าไหมสีแดงที่พันธนาการมันไว้ก็ขาดลุ่ย ไก่ตัวผู้ดิ้นดุกดิกหมายจะหนีไป

“เอ้กอี๊เอ้กเอ๊ก...”

เจียงเว่ยหว่านวางไก่ตัวผู้ลง จากนั้นก็เกิดคำถามจากฝูงชน

“ไยนางจึงวางไก่ลง นางไม่อยากคารวะฟ้าดินหรือไม่อยากแต่งงาน?”

“หากไม่แต่งเท่ากับขัดพระบัญชาฮ่องเต้ มีโทษประหารชีวิตเชียวนะ”

ระหว่างที่ประชาชนกำลังถกเถียงกันอยู่ เจียงเว่ยหว่านก็คืนดาบให้ทหารคุ้มกัน นางสะบัดแขนเสื้อ ย้อนถามเสียงปกติอย่างไม่ลุกลนว่า “ไม่คารวะฟ้าดินกับไก่ก็คือการขัดพระบัญชาหรือ?”

รอบทิศเงียบกริบในบัดดล

เลขานุการโจวยืนสง่าบนบันได พลางกล่าวเสียงราบเรียบว่า “พระชายา หากไม่คารวะฟ้าดินก็ไม่ได้ทำพิธีสมรสกับท่านอ๋อง เช่นนั้นก็ถือว่าขัดพระบรมราชโองการ”

“อ่อ?” เจียงเว่ยหว่านเลิกคิ้ว กลีบปากบางยกโค้งขึ้นอย่างสวยงาม ถามเสียงเรียบว่า “อันนี้เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทหรือเป็นความต้องการของเลขนุการโจวกันแน่?”

เลขานุการโจวกระตุกมุมปาก ใบ้กินทันควัน

เจียงเว่ยหว่านแย้มยิ้ม “หากข้าจำไม่ผิด ในพระราชโองการไม่ได้พูดรายละเอียดของพิธีคารวะฟ้าดิน และพระราชโองการแจ้งว่าข้าเป็นพระชายาฉินแล้ว เช่นนั้นจะทำพิธีสมรสอย่างไรก็แล้วแต่ข้า พวกเจ้าเป็นข้ารับใช้ของท่านอ๋องฉิน ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นใดๆ”

ใบหน้าอัปลักษณ์ของนางแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มองไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ ทว่าเสียงของนางกลับชวนให้เสียวสันหลังยิ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์