ตอนที่ 2 ให้นางลองดู
เลขานุการโจไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เดิมทีเขาคิดจะข่มขวัญพระชายาใหม่ ไหนเลยจะคิดว่านางกลับพลิกสถานการณ์ถือไพ่เหนือกว่าได้
ใครที่บอกว่าพระชายาอ่อนแอและรังแกง่าย?
เขากระตุกมุมปากแบบไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น แสดงท่าทางนอบน้อมแล้วลั่นวาจาอย่างมีหลักการว่า “พระชายา ไม่ค่อยเหมาะสมนักที่จะไม่คารวะฟ้าดิน ข้าน้อยไม่อาจรายงานต่อเบื้องบนได้”
สิ่งที่เขากล่าวนั้นแฝงไปด้วยความดูแคลน ไม่เห็นนางอยู่ในสายตา
ขนตางอนยาวอันสวยงามกระพริบ จ้องหน้าเลขานุการโจว
“เลขานุการโจว เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดรึ? ยามนี้ท่านอ๋องไม่อยู่แล้ว ดังนั้นข้าใหญ่สุดในจวนอ๋องแห่งนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์สั่งการข้า”
“พระชายาเกรงว่าจะไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
นางขมวดคิ้วมุ่น ถามเสียงเข้มขรึม “ไม่เหมาะสมเช่นไร?”
เลขานุการโจวไม่อาจชี้แจงถึงความไม่เหมาะสมได้
เมื่อเผชิญหน้ากับเจียงเว่ยหว่านผู้แข็งแกร่ง เลขานุการโจวก็ตะลึงงัน คนผู้นี้คือคุณหนูแห่งจวนโหวจริงหรือ?
เมื่อเจียงเว่ยหว่านเห็นคนตรงหน้าไร้วาทศิลป์โต้แย้ง ก็ประเมินสถานการณ์ในใจ ฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้หนึ่งปี เป็นช่วงที่สั่งสมชื่อเสียง ไม่มีทางหยามเหยียดนางอย่างโจ่งแจ้ง
ยิ่งไปกว่านั้นการที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้เจ้าของร่างเดิมกับท่านอ๋องฉิน เพราะมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง
สายตานางเคร่งขรึม โจมตียามได้เปรียบอย่างน่าเกรงขาม “เลขานุการโจว นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะจัดการเรื่องภายในจวนอ๋องเอง หากเจ้ากระทำโดยพลการ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไร้น้ำใจ”
ใบหน้าเลขานุการกระตุก สรรหาถ้อยคำทักท้วงไม่เจอ จำต้องก้มหน้ารับคำสั่งอย่างเดียว
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
เมื่อการปะทะฝีปากอันดุเดือดยุติ เจียงเว่ยหว่านก็ยกเท้าเข้าจวนอ๋อง บรรดาราษฎรที่มามุงดูก็แยกย้ายกันไป
หลังจากที่เจียงเว่ยหว่านคว้าชัยชนะ พวกเลขานุการโจวก็ไม่กล้าแข็งข้ออีก
เมื่อเจียงเว่ยหว่านมาถึงห้องหอก็นั่งมองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยหน้าคันฉ่อง
ดรุณีน้อยในคันฉ่องมีดวงตาโตกลมมน ผิวพรรณผ่องใสดุจหิมะและหยกเขียว ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดง คือองค์ประกอบของหญิงโฉมสะคราญนั่นแล
สิ่งเดียวที่กระทบต่อความงามคือกระบนแก้มทั้งสองข้าง
เจียงเว่ยหว่านพิศพินิจคันฉ่องโดยละเอียด สาเหตุที่มีกระบนใบหน้าน่าจะเป็นเพราะมียาพิษเข้าสู่ร่างกาย ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด ดังนั้นแค่หาวิธีแก้พิษ กระก็จะอันตรธานหายไป
หากยามนี้มีอุปกรณ์ทดสอบของห้องวิจัยในยุคปัจจุบัน นางก็อาจจะตรวจพบพิษที่ปนอยู่ในร่างกายเจ้าของร่างเดิมได้
ระหว่างที่นางกำลังวิเคราะห์จัดแจง กำไลหยกบนข้อมือนางก็มีบางสิ่งร่วงหล่นลงมา จากนั้นก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น
ไม่นานก็มีเข็มเจาะเลือดอยู่บนฝ่ามือนาง เจียงเว่ยหว่านดีอกดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ หรือนางจะนำห้องวิจัยของตัวเองทะลุมิติมาเหมือนอย่างที่เคยอ่านในนิยาย?
นางไม่พูดพร่ำทำเพลง พูดชื่อยาในใจสองสามชื่อ จากนั้นก็เห็นยาพวกนั้นโผล่ออกมาจากกำไลหยกตามคำเรียกร้องของนาง
เมื่อนางมีห้องวิจัยอยู่ในมือ นางก็ไม่ต้องกลุ้มใจว่าจะหาเงินหนีออกจากจวนอ๋องไม่ได้แล้ว
เมื่อม่านรัตติกาลโรยตัวลงมา เจียงเว่ยหว่านก็ใส่กระโปรงเรียบง่ายแล้วแอบไปยังโรงหมอ นางจะลองไปสมัครเป็นแพทย์ในโรงหมอก่อน ต้องสร้างเส้นสายและเก็บเงินให้ได้ก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อแซ่เข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้านใหม่ หากมีเงินแล้วนางก็สามารถไปจากสถานที่เฮงซวยแห่งนี้ได้
เมืองหลวงในยามราตรีสว่างไสวเป็นพิเศษ
โคมไฟที่แขวนประดับประดาหน้าจวนบนท้องถนนประหนึ่งดวงดาราเจิดจรัสเป็นแนวยาว โอนเอนไปตามกระแสลม
โคมไฟและแสงจันทราส่องทุกซอกทุกมุมจนเหมือนเป็นตอนกลางวัน
หลังเจียงเว่ยหว่านออกจากจวนอ๋องแล้วก็ไปยังถนนใหญ่ที่มีความคึกคักในช่วงตอนกลางวัน ถนนสองข้างทางแขวนโคมไฟเต็มไปหมด ทว่ากลับไร้ผู้คนสัญจร
นางลืมไปว่ายุคนี้ห้ามออกจากบ้านในยามวิกาล ดังนั้นบัดนี้โรงหมอปิดแล้ว นางจึงเตรียมกลับจวนไป
บนถนนอันว่างเปล่าและเงียบสงัดเกิดเสียงรถม้ากะทันหัน พอนางหันไปมองก็เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งด้วยความเร็วแสง
นางตกใจหลบหลีกไปได้อย่างหวุดหวิด รถม้าหยุดวิ่งตรงหน้านาง กีบม้าแกร่งสองตัวยกขึ้นกลางอากาศ ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
“หยุด” สารถีหนุ่มผู้กล้าหาญดึงบังเหียนไว้ ถามคนในรถม้าด้วยความระมัดระวัง “นายท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงนารีอันไพเราะดั่งนกขมิ้นกล่าวเสียงสะอื้น “จางหาน เขากระอักเลือด พักก่อนเถอะ”
“นายท่าน” จางหานแหวกม่านรถม้าด้วยความกระวนกระวายใจ เข้าไปดูอาการในรถม้าด้วยความลนลาน
เจียงเว่ยหว่านเหลือบไปเห็นบุรุษที่มีโลหิตเต็มตัวนอนอยู่ในรถม้า รูปร่างสูงโปร่งของเขาพันผ้าพันแผลสีขาวที่ยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสด
เลือดไหลออกทางปากเขาไม่หยุด แม้นบัดนี้เขาจะอยู่ในอาการโคม่า ทว่าก็ยังคงความสูงศักดิ์ยากจะเทียบเทียม
เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง
เห็นได้ชัดว่าสตรีด้านข้างเขาเป็นภรรยาของเขา เมื่อเห็นเขาเจ็บปวด ก็มองเขาด้วยน้ำตา นางประคองเขาขึ้น ดวงตาหงส์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
“พวกเราใกล้จะถึงแล้ว ท่านพักผ่อนอีกครู่หนึ่งเถิด”
บุรุษผู้นี้ลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าหล่อขั้นเทพปรากฎสู่สายตาเจียงเว่ยหว่าน
จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบางมีเสน่ห์ รูปร่างกำยำ หน้าตาหล่อเหลาสุดจะพรรณนา คนอื่นมองปราดเดียวก็ยากจะถ่ายถอน
ทว่าสีหน้าบุรุษผู้นี้ไม่สู้ดีนัก ซีดขาวยิ่ง ซีดขาวแบบสูญเสียเลือดไปเยอะ และเหมือนเขาจะอดทนกับความเจ็บปวดสุดฤทธิ์
เจียงเว่ยหว่านตกใจอย่างยิ่งยวด คนผู้นี้ไม่เพียงแต่บาดเจ็บสาหัส ทั้งยังเสียเลือดเป็นจำนวนมาก หากรักษาไม่ทันท่วงที เขาจะต้องตายเพราะเสียเลือดแน่ นางในฐานะแพทย์จะนิ่งดูดายไม่ได้
นางใช้เครื่องสำอางที่ได้มาจากห้องวิจัยบดบังกระบนใบหน้า เวลานี้คนอื่นคงดูไม่ออกว่านางคือพระชายาฉินที่แต่งงานเมื่อตอนกลางวันนี้
นางครุ่นคิดไปพลาง สาวเท้าเดินเข้าไปพลาง
“ข้าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของผู้ป่วยท่านนี้ได้”
จางหานหันไปมองก็เห็นหญิงสาวหน้าตาดี พลางถามหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้ารักษาได้หรือ?”
“รักษาได้” เจียงเว่ยหว่านตอบสั้นๆได้ใจความ “รักษาง่ายมาก คือต้องเปลี่ยนถ่ายเลือดให้เขา เอาเลือดคนอื่นเข้าร่างกายเขา เขาก็จะมีชีวิตรอดแล้ว”
จางหานย้อนถามนางทันที “เปลี่ยนถ่ายเลือดอันใดกัน? ข้าไม่เคยได้ยินวิธีรักษานี้มาก่อน เหลวไหลทั้งเพ”
สตรีในรถม้าก็มองเจียงเว่ยหว่านด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นกัน
“เจ้าคิดจะลอบฆ่าผู้อื่นหรือ? หากสูบเลือดจากอีกคนแล้ว คนนั้นจะมีชีวิตต่อได้หรือ?”
จางหานพูดขึ้นมาว่า “อย่าไปสนใจคนอย่างนางเลย สมองคงไม่สมประกอบ”
จางหานเข้าไปบังหน้าบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ให้เจียงเว่ยหว่านเข้าใกล้
สตรีในรถม้ามองเจียงเว่ยหว่านด้วยความระแวง ใบหน้างามหยาดเยิ้มเผยความระวังตัว ทว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาเป็นดังเดิม
นางทำหน้าอ่อนช้อยกล่าวกับบุรุษที่นั่งบนผ้าไหมเสียงเบาแบบที่ได้ยินกันแค่สองคนว่า
“ท่านอ๋องอย่าเชื่อนางนะเพคะ เปลี่ยนเลือดน่ากลัวมาก”
บุรุษผู้นี้คือเซียวจิ้งเป่ย เมื่อได้ยินสตรีข้างกายกล่าว เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น มองเจียงเว่ยหว่านอย่างใช้ความคิด
แสงจันทร์อันสว่างเจิดจ้าส่องให้เห็นถึงความสุขุม อ่อนหวานสะกดหัวใจของเจียงเว่ยหว่าน สตรีที่ยืนกลางสายลมจนอาภรณ์พลิ้วไหว เมื่อพูดถึงเรื่องการถ่ายเลือด แต่กลับไม่สะทกสะท้าน ใบหน้างดงามยังเปล่งประกายแสงแห่งความมั่นใจไว้ในทีอีกด้วย
มีตำนานเล่าขานว่าผู้ที่ชื่อว่าฮว่าถัวแห่งยุคตงฮั่นผ่าศีรษะรักษาคน เช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็มีเทคนิคแพทย์ขั้นเซียนจริงหรือ?
ดวงตางดงามของเซียวจิ้งเป่ยหรี่ลง อดทนกับความเจ็บปวดแล้วกล่าวแช่มช้าว่า “ให้นางลองดู”
“นายท่าน” จางหานยังอยากพูดอะไรต่อ ทว่ากลับถูกเสียงอันเย็นเยียบห้ามไว้ “ให้นางเข้ามา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์
ไม่่เขียนต่อแล้วเหรอคะ...