กำปั้นใต้แขนเสื้อยาวของมู่เหยากำแน่น ดวงตาค่อย ๆ แดงก่ำขึ้น
เพื่อจะยกสถานะให้หลิ่วซีอิน ลู่จื้อถึงกับไม่เห็นตระกูลมู่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เหยียบย่ำนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลิ่วซีอินมองเห็นสีหน้าขุ่นแค้นของมู่เหยา ในใจพลันคำนวณแผนการ เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
“น้องหญิงเอ่ยสิ่งใดผิดไป จึงทำให้พี่หญิงขุ่นเคืองใจหรือเจ้าคะ?”
“เช่นนั้นน้องหญิงขอขมาพี่หญิงเหยาเจ้าค่ะ”
ว่าแล้ว หลิ่วซีอินก็คำนับอย่างนุ่มนวล คุกเข่าลงตรงหน้ามู่เหยากลางถนนนั้นเลย
มู่เหยาถอยหลังไปครึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ ก้มลงมองหลิ่วซีอินบนพื้น แววตาเต็มไปด้วยความชิงชังรังเกียจ
แต่ยังไม่ทันที่มู่เหยาจะได้เอ่ยปาก ร่างหนึ่งก็รีบรุดออกมาจากด้านหลัง
ลู่จื้อรีบปรี่เข้าไปประคองหลิ่วซีอินที่อยู่บนพื้นขึ้นมา
“ซีอิน เจ้าทำอะไรของเจ้า?”
“ต่อไปเจ้ากับนางต่างก็เป็นภรรยาเท่าเทียมของจวนโหว ฐานะเท่าเทียมกัน เหตุใดต้องทำความเคารพนางด้วย?”
น้ำเสียงของลู่จื้อแฝงความสงสารอย่างไม่ปิดบัง
เขารับหลิ่วซีอินเป็นภรรยาทเท่าเทียม ทั้งยังให้เกียรติด้วยขบวนเกี้ยวแปดหาม ก็เพื่อให้นางเชิดหน้าชูตาได้
หากซีอินยังต้องก้มหน้าให้มู่เหยาต่อไป ขบวนเกี้ยวแปดหามที่เขาเสียเงินทองไปมากมายจะมีประโยชน์อันใดเล่า?
“ซื่อจื่อช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสียจริง”
มู่เหยาก้มลงมองคู่รักที่กำลังแสดงความหวานชื่นอยู่บนพื้น แววตาเย็นชาคู่นั้นฉายแววเยือกเย็น
ต่อหน้าต่อตานางแท้ ๆ ลู่จื้อกลับแสดงความสนิทสนมกับนางต้นห้องของเขาถึงเพียงนี้
ลู่จื้อมองมู่เหยาด้วยสายตาเย็นชา เชื่อมั่นว่าเพราะนางหาเรื่อง หลิ่วซีอินจึงต้องคุกเข่าลงกลางถนนอย่างเสียมิได้
“ซีอิน รีบลุกขึ้นเถิด”
ลู่จื้อยื่นมือออกไปประคองนาง แต่ยังไม่ทันที่หลิ่วซีอินจะได้ลุกขึ้น ก็ถูกมู่เหยาร้องห้ามเสียก่อน
“ช้าก่อน”
“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?” ลู่จื้อหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง
มู่เหย้าเลิกคิ้วเรียวเล็กน้อย มองไปยังหลิ่วซีอินที่ทำท่าเหมือนถูกรังแก
เห็น ๆ กันอยู่ว่าหลิ่วซีอินเป็นฝ่ายเริ่มโอ้อวดเรื่องขบวนเกี้ยวแปดหามก่อน นางยังไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ หลิ่วซีอินก็คุกเข่าลงไปแล้ว
แล้วจะมาเสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาอันใดอีก?
ในเมื่ออยากคุกเข่านัก ก็คุกเข่าให้พอใจไปเถิด
มู่เหยาเหยียดยิ้ม มองลู่จื้อพลางหัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า
“ซื่อจื่อเองก็กล่าวแล้วว่าต้องแต่งเข้าเสียก่อน ถึงจะนับว่าเป็นภรรยาเท่าเทียม”
“ตอนนี้นางยังไม่ได้แต่งเข้า ส่วนข้าคือเสี้ยนจู่ขั้นสองที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง แต่นางเป็นเพียงบุตรีของคนรับใช้เท่านั้น”
“การที่นางทำความเคารพคุกเข่าให้ข้า จะทำให้นางเจ็บช้ำใจหรือไร?”
มู่เหยาปฏิบัติต่อคนรับใช้ด้วยความเมตตาเสมอมา และไม่เคยใช้บารมีของตำแหน่งเสี้ยนจู่ข่มเหงผู้อื่น
ทว่าเพียงเพราะนางมีใจเมตตา ใช่ว่าผู้อื่นจะหลงลืมไปได้ว่านางเองก็รับเบี้ยหวัดจากราชสำนักและมีบรรดาศักดิ์เสี้ยนจู่
การที่หลิ่วซีอินจะคุกเข่าคารวะนาง ก็เป็นเรื่องสมควร!
สิ้นเสียงของมู่เหยา มือที่ลู่จื้อยื่นออกไปพลันหยุดชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
หลิ่วซีอินเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาที่แดงก่ำกลั่นเป็นหยาดน้ำตารินไหลลงมา
“เป็นน้องหญิงที่มิรู้ธรรมเนียม น้องหญิงขอคารวะพี่หญิงเหยาเจ้าค่ะ”
ว่าแล้ว หลิ่วซีอินก็โขกศีรษะลงกับพื้น เมื่อลุกขึ้นมา หน้าผากก็แดงก่ำไปหมดแล้ว
ลู่จื้อไม่อาจเก็บซ่อนความปวดใจ รีบประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วมองมู่เหยาด้วยแววตาชิงชังรังเกียจเต็มเปี่ยม
“คารวะแล้ว ครั้งนี้เจ้าพอใจแล้วกระมัง?”
ลู่จื้อจูงมือหลิ่วซีอินอย่างเปิดเผย แสดงท่าทีเหี้ยมเกรียมและอวดดีต่อหน้ามู่เหยา
“ไม่รู้ว่าเจ้าศึกษาตำราเล่มใดมา ถึงได้ถือดีในฐานะเสี้ยนจู่ของตน รังแกซีอินที่เป็นเพียงเด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่ง”
“หวังว่าหลังจากแต่งงานแล้ว เจ้าจะรู้จักวางตนให้ดี!”
ลู่จื้อกล่าววาจาเหี้ยมเกรียมจบ ก็จูงมือหลิ่วซีอินหันหลังเดินจากไป
ท่าทางนั้นราวกับว่ามู่เหยาเป็นผู้ร้ายที่ก่อกรรมทำเข็ญมาอย่างมหันต์
มู่เหยาหันไปมองตามแผ่นหลังของคนทั้งคู่ ใบหน้างามราวบุปผากลับอับเฉาเย็นชาอย่างที่สุดในตอนนี้
การที่หลิ่วซีอินคารวะนางตามธรรมเนียม เป็นการถูกรังแกงั้นหรือ?
แล้วการที่ลู่จื้อเอาบุตรสาวของคนรับใช้มาเหยียบย่ำเกียรติของตระกูลมู่ ไม่ใช่การรังแกนางที่เป็นหญิงกำพร้าหรอกหรือ?
“กลับจวนเถิด”
มู่เหยาถอนหายใจแผ่วเบา พาหนิงจู๋หันหลังเดินจากไป
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางจะยังมีแก่ใจไปเลือกซื้อสิ่งใดได้อีก
อีกทั้งงานสมรสในอีกสี่วันข้างหน้า ก็เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น
องค์หญิงใหญ่จัดงานชมบุปผาในจวน เชิญเหล่าเชื้อพระวงศ์และคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงมาร่วมงานอย่างเอิกเกริก
เดิมทีมู่เหยาไม่ชอบเข้าร่วมงานรื่นเริงที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่ในวันนี้ นางกลับไป
ที่ผ่านมานางเก็บตัวอยู่อย่างเดียวดาย จนผู้คนหลงลืมไปแล้วว่าตระกูลมู่ยังมีนางที่มีชีวิตอยู่
การปรากฏตัวต่อเหล่าเชื้อพระวงศ์และผู้สูงศักดิ์ในวันนี้ เพื่อที่ว่าตอนไปร้องเรียน จะได้คุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง
เมื่อมู่เหยาพาหนิงจู๋มาถึงจวนองค์หญิง อุทยานก็เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านแล้ว
ภายในนั้นมีคนที่คุ้นเคยไม่มากนัก มู่เหยาจึงนั่งอยู่คนเดียว สักพักก็ได้ยินเสียงเอะอะที่ประตู
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเป็นลู่จื้อพาหลิ่วซีอินมา
“มิใช่ว่าซื่อจื่อแห่งผิงหยางโหวกำลังจะแต่งกับเสี้ยนจู่ตระกูลมู่หรอกหรือ? เหตุใดวันนี้จึงพาสตรีอื่นมาด้วยเล่า?”
“ซื่อจื่อบอกว่านางคือผู้น้อง ตั้งใจจะแต่งเป็นภรรยาเท่าเทียมในวันเดียวกัน”
“เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินว่าตระกูลเขายังมีญาติผู้น้องเลยเล่า? อย่าบอกนะว่าเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้า แล้วสร้างสถานะขึ้นมาเพื่อจะยกนางขึ้นเป็นภรรยาเท่าเทียม?”
ท่ามกลางเสียงซุบซิบรอบข้าง มุมปากของมู่เหยาก็ยกยิ้มเล็กน้อย
พวกเขาคาดเดาได้แม่นยำนัก
หลิ่วซีอินในฐานะบุตรสาวของคนรับใช้ ย่อมไม่อาจมาร่วมงานเช่นนี้ได้
ต้องลำบากลู่จื้อทุ่มเทความคิดเพื่อสร้างสถานะญาติผู้น้องให้หลิ่วซีอิน เพื่อให้นางได้มีโอกาสเปิดตัวต่อหน้าธารกำนัล
หลิ่วซีอินย่อมได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่กลับมิได้เอ่ยคำชี้แจงใด
นางเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ละสายตา มองสบตากับมู่เหยาอย่างแน่วแน่
“พี่หญิงเหยา ไม่ได้พบกันเสียนาน น้องหญิงขอคารวะพี่หญิงเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้หลิ่วซีอินเป็นฝ่ายแสดงความเคารพก่อน ทำให้มู่เหยาหมดข้ออ้างที่จะจับผิดได้
และการตีสนิทของนางเช่นนี้ ก็ทำให้คนรอบข้างเห็นได้ชัดเจน
มู่เหยาคือซื่อจื่อฮูหยินผิงหยางโหวที่ใคร ๆ ก็รู้จัก
หลิ่วซีอินสนิทชิดเชื้อกับนางถึงเพียงนี้ ดูท่าเรื่องภรรยาเท่าเทียมนั้นคงเป็นเรื่องจริง
เมื่อเห็นว่ามู่เหยาไม่ได้เอาเรื่อง หลิ่วซีอินจึงนั่งลงเคียงข้างนาง
ลู่จื้อบอกแล้วว่า เขาได้ข่มขวัญมู่เหยาแล้ว รับรองว่าต่อไปนางจะไม่กล้าหาเรื่องอีก นางจึงได้อาจหาญถึงเพียงนี้
“เหตุใดปลายนิ้วของพี่หญิงจึงแตกเล่าเจ้าคะ? ด้วยฐานะและทรัพย์สมบัติของพี่หญิง ยังต้องปักชุดแต่งงานด้วยตนเองอีกหรือเจ้าคะ?”
“ส่วนชุดแต่งงานของข้า อาจื้อ...ผู้พี่ได้ไหว้วานช่างปักฝีมือดีในเมืองหลวงนานแล้ว เพิ่งส่งมาถึงจวนเมื่อวานนี้เองเจ้าค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสได้มั้ยคะ...