ในยามนี้เอง อันเสวี่ยถังก็ทั้งรู้สึกตกตะลึงและประทับใจอย่างบอกไม่ถูก นางไม่คาดคิดเลยว่าสามีของตนจะเป็นคนดีมากเสียจนคิดจะปล่อยนางไปจริงๆ
เมื่อ 'แอบฟัง' บทสนทนาระหว่างโม่อวิ๋นจิ่งกับอวิ๋นลิ่ว ในที่สุดอันเสวี่ยถังก็เข้าใจสาเหตุที่ทำให้อวิ๋นลิ่วยืนกรานเรื่องที่จะหาภรรยาให้บุรุษที่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ที่แท้ก็คิดจะซื้อสตรีมาให้กำเนิดบุตรนี่เอง
แต่นางก็เข้าใจอวิ๋นลิ่ว ถึงแม้ว่าความคิดเช่นนี้จะไม่เป็นธรรมกับเจ้าของร่างเดิม... อ้อ นั่นก็คือตัวนางในยามนี้ ทว่าอวิ๋นลิ่วก็ทำไปเพราะหวังดีกับเจ้านายของตนเอง
อันเสวี่ยถังรู้สึกลังเลใจอยู่สักครู่ จากนั้นก็พยักหน้าราวกับเธอได้ตัดสินใจแล้ว
ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางไม่อาจทนเห็นสามีรูปงามต้องสิ้นชีพลงเช่นนี้เลย ลำพังแค่น้ำใจเล็กน้อยที่สามีของตนผู้นี้แสดงให้นางเห็นก็คู่ควรให้ตอบแทนแล้ว
สิ่งที่อันเสวี่ยถังอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่อง 'พลังวิเศษ' ของตนเอง นางลอบนึกอยู่ในใจว่าตนไม่อยากได้ยินอันใดอีกต่อไปแล้ว จากนั้นก็เกิดเรื่องน่าอัศจรรย์ขึ้นอีกครั้ง
นางไม่ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างคนทั้งสองเลย
อันเสวี่ยถังถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีไป แบบนี้นางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะโดนพวกเขารบกวนแล้ว
หลังจากยกอาหารมาแล้ว อันเสวี่ยถังก็ร้องเรียกพวกเขาทั้งสองคน
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองคนเห็นนางเดินเข้าประตูมา พวกเขาก็เลิกพูดคุย จากนั้นแววตาก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจเพราะพวกเขาต่างได้กลิ่นหอมรุนแรง
"อาหารเสร็จแล้ว อยากจะลองชิมดูหรือไม่?"
อวิ๋นลิ่วมองโม่อวิ๋นจิ่ง ส่วนโม่อวิ๋นจิ่งก็พยักหน้าให้ อวิ๋นลิ่วรีบผลักรถเข็นเข้ามาหา จากนั้นโม่อวิ๋นจิ่งก็ใช้มือทั้งสองข้างค้ำยันเอาไว้แล้วนั่งลง
อันเสวี่ยถังออกมาก่อนแล้ววางอาหารลงบนโต๊ะไม้ที่อยู่ในเรือน
เมื่ออวิ๋นลิ่วมองดูและได้กลิ่นหอมหวนเข้า ก็จ้องมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้วกลืนน้ำลายอย่างแทบอดรนทนไม่ไหว เขาไม่ได้กลิ่นอาหารหอมๆ เช่นนั้นมานานแล้ว จนเขามิทราบว่ารสชาติอย่างไร
โม่อวิ๋นจิ่งยังค่อนข้างสงบนิ่งและหน้าไม่เปลี่ยนสีเช่นเดิม แต่ลูกกระเดือกที่ขยับเล็กน้อยกลับเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเขาออกมาจนหมดสิ้น
อันเสวี่ยถังมัวแต่ยุ่งง่วนอยู่กับการยกอาหาร ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตเห็นสภาพของทั้งสองคน เมื่อเห็นพวกเขาไม่ขยับเขยื้อน นางจึงมองพลางกล่าวว่า "มีอันใดหรือ?"
โม่อวิ๋นจิ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า "กินเถอะ"
อันเสวี่ยถังยื่นตะเกียบให้พวกเขาสองคน ก่อนที่นางจะทันได้ตอบสิ่งใด ปากของพวกเขาก็เต็มไปด้วยอาหารเสียแล้ว
"..." กินข้าวกันอยู่แค่สามคน จำเป็นต้องแย่งชิงอาหารกันเลยเชียวหรือ?
อันเสวี่ยถังคิดจะบอกให้พวกเขาสองคนกินช้าๆ ลงหน่อย แต่เมื่อนางเห็นไก่ป่าจานนั้นจวนจะหมดเกลี้ยง นางก็ไม่คิดจะสงวนท่าทีแล้วรีบขยับตะเกียบสองทีแล้ววางใส่ถ้วยของตนเอง
ขณะที่อวิ๋นลิ่วกินไปพลางก็ดวงตาเปล่งประกายไปพลาง "อร่อย อร่อยจริงๆ พี่สะใภ้ อาหารที่เจ้าทำช่างอร่อยยิ่งนัก"
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกนางว่าพี่สะใภ้ด้วยความเต็มใจและเป็นธรรมชาติถึงเพียงนั้น
โม่อวิ๋นจิ่งยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้กล่าวอันใด แต่สีหน้าของเขาก็ฟ้องหมดเปลือกแล้วว่าอร่อยจริงๆ
เขายกถ้วยขึ้นดื่มน้ำแกงไก่ด้วยท่าทางสง่างาม ถึงน้ำแกงไก่จะร้อนไปสักหน่อยแต่ก็มิได้มันเลี่ยน เขาต้องยอมรับว่านี่เป็นอาหารรสเลิศที่สุดที่เขาไม่ได้กินมานานแล้ว
หลังจากอาหารมื้อเย็น โม่อวิ๋นจิ่งก็รีบไปอาบน้ำแล้วอวิ๋นลิ่วก็พากลับไปที่ห้องของเขา
หลังจากนั้น อวิ๋นลิ่วก็เริ่มช่วยอันเสวี่ยถังล้างจาน
หลังจากล้างจานเสร็จแล้ว อันเสวี่ยถังก็เห็นว่าเขายังไม่กล้าพูด นางจึงถอนหายใจพลางกล่าวว่า "อวิ๋นลิ่ว เจ้าอยากจะกล่าวอันใดก็ว่ามาเถอะ"
อวิ๋นลิ่วหน้าตาแดงก่ำแล้วรีบเอ่ยขึ้นมาว่า "พี่สะใภ้ วันนี้เป็นคืนเข้าหอระหว่างเจ้ากับพี่ใหญ่ของข้า ทะ... ท่านต้องปรนนิบัติพี่ใหญ่ของข้าให้ดีๆ เล่า"
เมื่ออวิ๋นลิ่วพูดจบก็หันหลังแล้ววิ่งเข้าห้องตนเองไป
อันเสวี่ยถัง "..."
เจ้าสารเลวผู้นี้ถึงกับไม่ลืมที่จะเตือนให้นางตั้งครรภ์บุตรให้แก่สามีของตน
อันเสวี่ยถังนวดขมับด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า หลังจากล้างจานเสร็จก็เดินกลับเข้าห้องไป
ยามนี้ตะวันตกดินแล้ว ถึงห้องจะมืดลงเล็กน้อย แต่โม่อวิ๋นจิ่งก็ยังอ่านตำราอยู่
อันเสวี่ยถังจุดตะเกียงน้ำมันให้เขา แต่แสงตะเกียงก็ยังคงสลัวราง ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "ขืนอ่านตำราแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีต่อดวงตาของท่านแน่ ตอนกลางคืนพักผ่อนดีกว่านะ"
ดวงตาลึกล้ำดำมืดของโม่อวิ๋นจิ่งหรี่ลงเล็กน้อย แล้วเขาก็ค่อยๆ เก็บตำราลงไป
อันเสวี่ยถังยืนอยู่ตรงนั้นแล้วลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็ปีนขึ้นเตียง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ้านอาจิ่งมีหมอเทวดา
ลงต่อไหมคะ...