เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อกลับถึงบ้าน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่แต่มันก็ใช้ปราณแท้ของเขาไปอย่างมหาศาล
การต่อสู้นับเป็นจุดอ่อนเดียวของเขา ตั้งแต่เรียนรู้การสร้างยันต์เมื่อห้าปีที่แล้วเขาก็ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของเขาที่เห็นได้ชัดคือทักษะในการสร้างยันต์และสามารถใช้พลังของยันต์อักขระประหนึ่งเป็นแขนขาของเขา
แต่ค่อยยังชั่ว ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้และไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น เหตุนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ากลยุทธ์ในการต่อสู้ที่แม่นยำบางครั้ง ย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระหว่างการลงมือ
ไป๋หว่านฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่นางถามอย่างกังวลว่า “เฉินซี แม้พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว แต่ถ้าพวกมันไล่ตามมาถึงที่นี่ล่ะ?”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ตัวข้านั้นได้ไปที่จวนของท่านแม่ทัพก่อนที่จะไปช่วยท่านและเสี่ยวฮ่าวแล้ว” เฉินซีตอบกลับอย่างใจเย็น
สีหน้าของไป๋หว่านฉิงหม่นหมองลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “พวกมันไม่ได้กล่าวหรอกหรือว่าเมื่อพิจารณาถึงตระกูลหลี่แล้ว จวนแม่ทัพจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
เฉินฮ่าวที่ยืนอยู่เคียงข้างนาง กลับตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและฝืนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้าไป๋ ขณะนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หากเป็นข้าถูกทำร้ายไปก่อนหน้านี้ จวนแม่ทัพคงไม่สืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะต้องคำนึงถึงตระกูลหลี่ พวกเขาจะทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ราวกับว่าไม่เกิดเหตุอันใด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พี่ชายของข้าได้ร้องทุกข์ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน จวนแม่ทัพจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกเพราะหากพวกเราตกเป็นเหยื่อขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เต็มใจที่จะเข้าข้าง แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของเหล่าปวงประชาในเมืองหมอกสน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเรื่องราวลงเอยเช่นนี้ตระกูลหลี่ย่อมไม่อยากจะจ่ายราคาเพื่อแลกกับเราหรอก”
ไป๋หว่านฉิงตกตะลึงและในที่สุดก็เข้าใจ เมื่อนางมองดูสองพี่น้องเบื้องหน้า หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่หาที่เปรียบมิได้อยู่ช่วงครู่ พลางคิดในใจว่า ‘พี่ชายเป็นคนใจเย็นและมักเก็บงำความสามารถเอาไว้ เขามักจะวางแผนด้วยกลยุทธ์อันโดดเด่น และคำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ด้วยความรอบคอบ ส่วนน้องชายก็มีไหวพริบเฉียบแหลมและกระตือรือร้น ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันโดดเด่นนี้ หากตระกูลเฉินยังคงดำรงอยู่ สองพี่น้องคู่นี้ย่อมเป็นคนที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอน! แต่ช่างน่าเสียดายที่ทุกอย่างมลายสิ้นหมดแล้ว และมันก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากและความยากลำบากสู่เด็กอาภัพทั้งสองคนนี้…’
ไป๋หว่านฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ขณะที่นางตระหนักเรื่องนี้
เฉินซีเอ่ยถาม “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”
เฉินฮ่าวหัวเราะขณะที่เขาตอบ “นอนพักฟื้นสองสามวันน่าจะทุเลาดี ว่าแต่ท่านพี่ความแข็งแกร่งของเจ้าสุนัขแก่อู๋ควรจะอยู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ท่านใช้วิธีใดถึงสามารถยับยั้งมันได้?”
เฉินซีตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาโอกาศและทำให้มันไขว้เขว แต่ถ้าต้องประมือกับมันตรง ๆ ต่อให้เจ้าและข้ารวมกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
เฉินฮ่าวซักถามต่อ “ทำให้มันไขว้เขว? ว่าแต่ก่อนหน้าข้ายังไม่เห็นตัวท่านแต่ทันใดนั้นท่านก็โผล่มา ท่านทำได้อย่างไร? เคล็ดวิชาที่ท่านใช้มันเรียกว่าอะไรหรือ?”
ความอยากรู้อยากเห็นของไป๋หว่านฉิงก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นางก็ไม่เห็นเฉินซีในทำนองเดียวกัน และรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายของนางถูกอุ้มไปบนหลังของชายหนุ่มแล้ว
เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “มันง่ายมาก ตอนที่พวกเจ้าสองคนกำลังต่อสู้ก่อนหน้านี้ ข้าได้ใช้ยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอาย ส่วนการลอบโจมตีผู้ดูแลอู๋ ข้าก็ได้ใช้ยันต์ลิ่มน้ำแข็ง”
เฉินฮ่าวอุทานด้วยความแปลกใจ “ทั้งหมดนี้เป็นยันต์พื้นฐานขั้นระดับหนึ่งเองไม่ใช่หรือ”
เฉินซีพยักหน้า และกล่าวว่า “ประเด็นไม่ใช่มองเพียงระดับของยันต์อักขระที่นำมาใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ยามต่อสู้”
ไป๋หว่านฉิงรู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉินฮ่าวกลับเข้าใจดี ทันใดนั้นเขากล่าวพร้อมทั้งหัวเราะว่า “ใช่แล้ว ความผิดพลาดประการแรกของเจ้าสุนัขแก่อู๋คือการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ความผิดพลาดประการที่สองของมันคือการละเลยสภาพแวดล้อมโดยรอบ ความผิดพลาดประการที่สามคือการสูญเสียการควบคุมสภาพจิตใจตัวเอง ข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ท่านใช้กลยุทธ์ได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเบื้องต้นคือท่านพี่ต้องคำนวณการเกิดขึ้นของข้อผิดพลาดเหล่านี้เสียก่อนที่จะลงมือ ถึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้”
เมื่อเขาพูดถึงจุดนี้ เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “ท่านพี่ ทุกสิ่งอยู่ในการคาดการณ์ของท่านทั้งหมดเลยสินะ?”
เฉินซีเลี่ยงที่จะตอบคำถามและกล่าวว่า “กลยุทธ์นั้นไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่สอง และหากผู้ดูแลอู๋เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล แผนการใด ๆ ก็ย่อมไร้ผล”
เฉินฮ่าวกล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าแผนการและกลอุบายทั้งหมดจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายนั้น พวกมันจะไร้ประโยชน์ทันใดเมื่อต้องเผชิญกับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล”
หลังจากก้าวเข้าขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ญาณจิตวิญญาณนั้นจะสามารถออกจากห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกและทำให้ตัวผู้บ่มเพาะบรรลุถึงพลังแห่งการรับรู้ ซึ่งช่วยให้มองเห็นความผันผวนของกระแสลมโดยรอบได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงพลังแห่งการรับรู้ของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้
เฉินซีเอ่ยถาม “ว่าแต่ เหตุใดเจ้าถึงได้ต่อสู้กับสมาชิกของตระกูลหลี่เล่า?” เนื่องจากตัวเขายังไม่อาจหาเบาะแสได้อย่างโดยละเอียด แต่เหตุที่เกิดนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่ มันจึงทำให้เขาระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในบรรดาศัตรูที่ฆ่าปู่ของเขา ตระกูลหลี่ถือว่าน่าสงสัยมากที่สุด
เฉินฮ่าวได้แต่ก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ
ไป๋หว่านฉิงพลันรีบอธิบาย จากนั้นเฉินซีจึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
ปรากฏว่าเฉินฮ่าววางแผนที่จะกลับไปที่สำนักกระบี่ดารานภา เพื่อฝึกวิชากระบี่ในเช้าวันนี้ แต่เมื่อเขาผ่านประตูเข้าไปในสำนักกลับถูกหลี่หมิงเยาะเย้ยถากถางว่าเฉินซีได้ทำให้ปู่ของเขาตายไปแล้ว และคนที่จะต้องตายเป็นรายต่อไปก็คือเขา คำพูดที่หลี่หมิงพูดนั้นร้ายแรงและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทำให้เฉินฮ่าวโกรธเคืองสุดขีด ถึงขนาดที่เต็มใจจะฝ่าฝืนกฎของสำนักและพุ่งเข้าทุบทำร้ายหลี่หมิงต่อหน้าต่อตาบรรดาศิษย์และอาจารย์ทุกคน
ผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อโกรธมากและสั่งลงโทษเฉินฮ่าวด้วยการขับไล่ออกจากสำนัก อย่างไรก็ตามท่านยังระบุด้วยว่าตราบใดที่หลี่หมิงให้อภัยความผิดที่เด็กหนุ่มได้ก่อไว้ เฉินฮ่าวก็จะยังคงสามารถฝึกฝนอยู่ในสำนักต่อไปได้ แต่แน่นอนว่ามีหรือหลี่หมิงจะยอมอ่อนข้อให้? ดังนั้นเขาจึงเรียกผู้ดูแลอู๋มาและเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องกล่าวถึง
เฉินซีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ถูกขับไล่ออกจากสำนักแล้วหรือ?”
เฉินฮ่าวเชิดหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของเขาขึ้น และมุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง ซึ่งแฝงไปด้วยความดื้อรั้นว่า “ท่านพี่ ตัวข้านั้นหาเสียใจไม่!”
เฉินซีรู้สึกโกรธแค้นจนมิอาจอดกลั้นไว้ภายในใจ เขารู้ว่าทุกครั้งที่น้องชายของเขาต่อสู้ก็เพื่อที่จะปกป้องตัวเขาเสมอ เพราะเสี่ยวฮ่าวไม่อาจทนใครก็ตามที่คอยดูแคลนเหยียดหยามตัวเขา ชายหนุ่มจึงมิอาจอดกลั้นต่อการที่น้องชายถูกผู้คนรังแกได้อีกต่อไป
“เสี่ยวฮ่าวอายุเพียงแค่สิบสองปีก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อกำเนิดแล้ว ข้าคิดว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะผ่านการทดสอบเข้าสำนักหมอกสนนะ” ไป๋หว่านฉิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวแนะนำ
เฉินซีได้แต่ส่ายหัว “เงื่อนไขการรับสมัครของสำนักหมอกสนนั้นเข้มงวดนัก และด้วยมือขวาที่พิการของเสี่ยวฮ่าว… ตัวข้าเกรงว่า…”
ไป๋หว่านฉิงพลันขัดจังหวะและกล่าวว่า “เจ้าตัดสินผลลัพธ์ได้อย่างไรหากยังไม่ทันได้ลอง? ถ้าเสี่ยวฮ่าวเต็มใจ ข้าพอที่จะช่วยแนะนำเขาให้กับเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...
ไม่ลงต่อแล้วหรือครับ ผมยังรออยู่นะครับ...