บทที่ 1014 ถูกลอบทำร้ายระหว่างทาง
บทที่ 1014 ถูกลอบทำร้ายระหว่างทาง
เมื่อขึ้นสู่ภพเซียน เฉินซีได้มอบสมบัติอมตะ โอสถทิพย์ และวัตถุวิญญาณภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ให้แก่เฉินอวี่และเฉินอัน ในขณะที่เขาเพียงแค่นำสมบัติที่จำเป็นบางอย่างติดตัวมาด้วยเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น กระบี่เต๋าวิบัติ กระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์ โคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติ ยันต์ศัสตรา พัดเทพอัคคีที่ยังไม่ได้ถูกขัดเกลา และอื่น ๆ เป็นต้น
สมบัติเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสมบัติที่แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ทั้งหมด และพวกมันเชื่อมโยงกับกรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงไม่กล้ามอบมันให้แก่ผู้อื่น
เช่น กระบี่เต๋าวิบัติ มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลทิ้งไว้ ในขณะที่อยู่ในภพมนุษย์ มันได้กระตุ้นความละโมบของภูเขาหมอกเซียน พวกนั้นจึงไม่ลังเลที่จะส่งเหมยลั่วเซียว อวี๋จงเสีย ชิวอวิ๋นเซิง และคนอื่น ๆ ลงไปยังภพมนุษย์เพื่อเรียกร้องจะเอามันมา ดังนั้นสิ่งนี้จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต้นกำเนิดของกระบี่เล่มนั้นพิเศษเพียงใด
‘ตอนนี้ข้าได้บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว แต่พลังของยันต์ศัสตรานั้นเหนือกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสมบัติอมตะทั่วไป ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาโอกาสพัฒนาพลังของมัน…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ ขณะทะยานผ่านอุโมงค์ที่ลึกและเงียบสงบ
ในตอนนี้ ราวกับว่าเขากำลังเดินทางเพียงลำพังอีกครั้ง หากต้องการตั้งหลักในภพเซียน สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือพยายามพัฒนาความแข็งแกร่งของตนอย่างเต็มที่
“ช่วย…ช่วยข้าด้วย…” ในขณะนี้ เสียงร้องโรยรินแว่วออกมาจากอุโมงค์ลึก
เฉินซีตกตะลึง เขาพุ่งไปข้างหน้าทันที ไม่นานนักก็เห็นชายคนหนึ่งในชุดซ่อมซ่อและผมกระเซิงนอนอยู่หน้ากำแพงหินซึ่งเปียกชื้น
ริมฝีปากของชายคนนั้นซีดเซียว ในขณะที่ดวงตาของเขาพร่ามัว พลังชีวิตปั่นป่วน ใกล้ตายทุกขณะ
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นทาส แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องขมวดคิ้ว เพราะมีศพเย็นเยียบและแข็งกระด้างอยู่สองสามร่างกระจายอยู่ข้างชายคนนี้ พวกเขาคงตายนานแล้ว
“สหายเต๋า! ช่วยข้าด้วย! เร็วเข้า ให้ศิลาอมตะแก่ข้าเร็วเข้า…” เขาหอบหายใจขณะกล่าว ดวงตาของชายคนนั้นสว่างวาบเมื่อเห็นเฉินซี พวกมันฉายชัดถึงความยินดีและเต็มไปด้วยการวิงวอน
“ข้าให้ศิลาอมตะแก่เจ้าได้ แต่จงบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าก่อน” เฉินซีขมวดคิ้ว ขณะที่เขามองบริเวณโดยรอบ และถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
ชายผู้นั้นหัวเราะอย่างขมขื่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย และกล่าวว่า “สหายเต๋า ข้าคิดว่าเจ้าคือผู้ข้ามผ่านที่ถูกจับและพามาที่นี่ หรือเจ้าจะไม่รู้ว่าหากมีใครไม่กลับขึ้นมาจากภายในเหมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดิน คนนั้นจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการคุกคามของปราณวิญญาณคราม และมันก็จะทำให้พลังชีวิตของคนผู้นั้นเหือดแห้งจนกระทั่งพิการหรือถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด”
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น “ปราณวิญญาณคราม มันคงไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกกระมัง? ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า การกลับขึ้นไปยังพื้นดินน่าจะเป็นเรื่องง่ายดาย”
ชายคนนั้นก็ตวาดกลับมาทันควัน “กลับไปยังพื้นดิน? เพื่อแสวงหาความตายหรือ? เจ้าคิดว่าองค์รักษ์เหล่านั้นจะปล่อยเราหรือไม่ หากเราไม่สามารถขุดศิลากำเนิดวิญญาณครามได้ตามที่กำหนด?”
เฉินซีเข้าใจในทันที และเดาได้คร่าว ๆ ว่าชายคนนี้อาจขุดศิลากำเนิดวิญญาณครามได้ไม่ครบตามที่กำหนด และกลัวว่าจะถูกองค์รักษ์เหล่านั้นสังหาร อีกฝ่ายจึงได้หลบซ่อนอยู่ในเหมือง แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกโจมตีโดยปราณวิญญาณคราม ทำให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ด้วยการบ่มเพาะของชายคนนี้ หากมีศิลาอมตะเพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวปราณวิญญาณครามอีกต่อไป
น่าเสียดายที่เฉินซีตระหนักดีว่า มันไม่ได้มีเพียงชายคนนี้เท่านั้น ผู้ซึ่งมายังเหมืองแห่งนี้ล้วนถูกยึดสมบัติวิเศษที่อยู่ในความครอบครองทั้งหมด ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า พวกเขาสิ้นเนื้อประดาตัว และนับประสาอะไรกับศิลาอมตะ?
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหยิบศิลาอมตะออกมาและโยนมันให้แก่อีกฝ่าย
“ขอบคุณ ขอบคุณ สหายเต๋า!” เมื่อเห็นศิลาอมตะ ชายคนนั้นก็กระโจนขึ้นจากพื้นเหมือนหมาป่าที่หิวโหย ทว่าเขาไม่ได้พุ่งไปหาศิลาอมตะ แต่กลับจู่โจมเฉินซีแทน
ฟิ้ว!
เขาว่องไวราวกับนกอินทรีที่โฉบลงมาหากระต่าย กลิ่นอายทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยม ดูไม่เหมือนคนใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย!
ในขณะนี้ เฉินซีเห็นรอยยิ้มอำมหิตและบิดเบี้ยวบนใบหน้าของชายผู้นี้ได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าแผนการของเขาจะประสบความสำเร็จ
ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงสิบสองจั้งเท่านั้น
การลอบทำร้ายในระยะห่างอันน้อยนิด ทำให้ชายคนนั้นมั่นใจว่าตนสามารถฆ่าเฉินซีได้ในกระบวนท่าเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวประชดประชันด้วยความอิ่มเอมใจ “สหายเต๋า อภัยให้ข้าด้วย ข้าได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทำเพื่อหลบหนีไปจาก…”
ทว่ายังกล่าวไม่ทันจบ เสียงของเขาก็หยุดลงกะทันหัน!
เพราะมือที่เหมือนกรงเล็บเหล็กโฉบลงมาราวกับโผล่มาจากอากาศ และคว้าเข้าที่ลำคอของชายคนนั้น ทำให้ใบหน้าแดงก่ำและปูดบวมขึ้นทันที และใกล้จะหมดสติจากการขาดอากาศหายใจ
“ดูเหมือนว่าศพเหล่านี้จะเป็นฝีมือของเจ้ากระมัง?” สายตาของเฉินซีเย็นชา พลางมองไปยังศพเย็นเฉียบบนพื้น น้ำเสียงไร้อารมณ์ความรู้สึก
กลิ่นอายของชายผู้นี้อ่อนแอลง หากเป็นเช่นนี้เขาจะต่อกรกับเฉินซีได้อย่างไร?
แม้ว่าเฉินซีจะใช้ร่างอวตารของเขาในเวลานี้ แต่การขัดเกลากายาก็บรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดแล้วยามบ่มเพาะในโลกแห่งดารา!
โดยเฉพาะร่างอวตารที่ได้ผ่านบ่มเพาะอย่างสันโดษอยู่ภายในโลกแห่งดารา และถ้านับเวลาไม่ผิด ร่างอวตารของเขาก็บ่มเพาะมากว่าหกร้อยปีแล้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...