บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 105

บทที่ 105 วิชาสลายวิญญาณ
บทที่ 105 วิชาสลายวิญญาณ

ความรู้สึกนึกคิดของหนุ่มน้อยผู้มีใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ต่างจากเด็กอายุหกเจ็ดขวบ เขาเลียนแบบท่าทางของผู้เยี่ยมยุทธ์โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่เมื่อมาคู่กับใบหน้าอ่อนเยาว์และเสียงของเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัย กลับทำให้เป็นที่น่าขบขันและน่าเอ็นดูแก่ผู้อื่น

เป็นเหตุให้เฉินซีนึกถึงน้องชายของตัวเอง… เฉินฮ่าว น่าเสียดาย ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ เฉินฮ่าวในวัยเด็กก็เหมือนกันกับเขา ฝึกบ่มเพาะพลังอย่างยากเข็ญตลอดเวลา เฉินฮ่าวเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและอยู่ในโอวาท ไม่ต้องพูดถึงความสำมะเลเทเมา แม้แต่การพูดตลกขบขัน เขายังไม่เคยทำด้วยซ้ำ

“ปรมาจารย์หลิงไป๋อย่างนั้นหรือ” เฉินซีเอ่ยถาม

เจ้าตัวเล็กหน้าหล่อเบะปากอย่างขัดเคืองก่อนพึมพำตอบอุบอิบ “ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าปรมาจารย์หลิงไป๋ ฟังแล้วเหมือนเจ้ากำลังประชดประชันมากกว่า”

“ข้าก็เรียกเจ้าชื่อนี้ไม่ถนัดปากเหมือนกัน” เฉินซีเห็นด้วยอย่างมาก “ไยไม่ให้ข้าเรียกเจ้าว่าหลิงไป๋เฉย ๆ เล่า”

หนุ่มน้อยโบกมืออย่างขอไปที “ก็แล้วแต่เจ้า”

“สุสานกระบี่แดนนิพพานเป็นสถานที่ใดกันแน่ ข้าจะออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่” ขณะที่ถามเฉินซีก็มองไปรอบตัว

“ไม่ได้!” หลิงไป๋สั่นศีรษะอย่างแรงพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำสนิทฉายประกายตาแห่งความปรารถนาแรงกล้า “คิดว่าข้าไม่อยากออกไปหรือไร มองไปทางไหนก็มีแต่สุสานกระบี่… และสุสานกระบี่! ที่นี่เป็นที่ฝังกระบี่ทุกเล่ม! ท่านอาจารย์ต้องการที่จะปกป้องข้าจึงเปิดทางแดนนิพพานด้วยความสามารถสูงสุด เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าถูกศัตรูจับได้อย่างไรล่ะ”

“เปิดทางอย่างนั้นหรือ ความสามารถนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก” เฉินซีพึมพำกับตนเอง จากนั้นจึงหันไปถามคนตรงข้ามทันที “ข้าจะเข้าไปได้อย่างไร”

หลิงไป๋ชี้ให้ดูกระดูกกองพะเนินที่อยู่บนพื้นและพูดว่า “อ๋อ ดูพวกนั้นสิ เมื่อเจ้าสัมผัสข้อห้ามของสุสานกระบี่ก็จะถูกพาเข้ามาอยู่ในนี้ แล้วเมื่อใดที่เข้ามาแล้วจะไม่มีวันได้ออกไปอีกและเหี่ยวแห้งตายอยู่ในนี้เท่านั้น”

“แต่ว่า… เคยมีผู้บ่มเพาะพลังเข้ามาในนี้ไม่น้อยและพวกเขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเจ้าด้วย …อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ความหมายที่ข้าพูดก็คือเจ้ามีชีวิตอยู่ในนี้มาได้อย่างไร”

ในใจของเฉินซีมีคำถามมากมาย เขารู้ถึงข้อห้ามนานัปการ ความพินาศและทะลวงช่องอากาศกลืนทุกสิ่งทุกอย่างไปในห้วงทะเลทรายมรณะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันตนเองจะเป็นคนที่ต้องถูกจองจำในนี้ เมื่อคิดแล้วก็รู้สึกสลดหดหู่และอดกังวลเล็กน้อยไม่ได้ เขาเกิดความกระหายอย่างแรงกล้าเพื่อจะได้ออกจากสถานที่บัดซบเช่นนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

“ข้าเป็นจิตวิญญาณของกระบี่แดนนิพพาน นานมาแล้วเคยหลอมรวมกับพลังขอบเขตนิพพาน ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นก็จะไม่มีใครได้เห็นข้า!” ขณะคนพูดถึงตอนนี้ ความขุ่นข้องหมองใจของหลิงไป๋ได้หายไปหมดสิ้น และทันทีที่สภาพทางกายฟื้นคืน ท่าทีหยิ่งผยองก็เผยโฉมหน้าให้เห็นอีกครั้ง

จากนั้นเจ้าตัวก็เอ่ยเสียงดังฟังชัด “หากมิใช่เพราะข้าเล็งเห็นแล้วว่าเจ้ามีความสามารถหยั่งรู้ไม่เลว ไม่อย่างนั้นข้าไม่เสียเวลามาให้เจ้าได้เห็นแน่”

เฉินซีไม่กล้าทำอะไรให้เจ้าหนุ่มน้อยขัดเคืองอีก จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้ามีตาหามีแววไม่ เหตุใดจึงไม่รู้จักคนที่โดดเด่นเช่นเจ้าได้น้า… เลวทราม เลวทรามแท้ทีเดียว!”

“เสแสร้ง! พูดจาเสแสร้งเกินไปแล้ว!” ทั้งที่ปากพูดออกมาเช่นนั้น ใบหน้ากลมมนของหลิงไป๋กลับแฝงด้วยรอยยิ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าจะเสียภาพลักษณ์ หลิงไป๋คงแสดงความชื่นชมยินดีมากกว่านี้เป็นแน่

‘อันที่จริงเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ชอบให้คนอื่นสรรเสริญเยินยอจะแย่!’ เฉินซียิ้มอย่างเข้าใจขณะแอบคิดในใจ ในเมื่อยังไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ฉะนั้นก่อนอื่นข้าจะเข้าไปที่พำนักของผู้อาวุโสจี้อวี๋ บางทีอาจได้คำชี้แนะถึงวิธีที่จะกลับออกไปบ้างล่ะนะ

ขณะที่คิดหาวิธี เฉินซีได้ผลักจิตของตนลงสู่จี้หยกที่กำลังถืออยู่บนฝ่ามือ ในเวลาเดียวกันสายใยแห่งแก่นแท้ รวมทั้งสายใยแห่งปราณจ้าววิญญาณก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาโดยพร้อมกัน

เสียงใสดังกังวานหมดจดงดงามราวกับเสียงระฆัง ฉับพลันปรากฏจี้หยกชิ้นหนึ่งทะยานวาบออกมาจากกลางฝ่ามือ ก่อนจะทะยานหมุนเป็นวงอยู่กลางอากาศ จากนั้นมีไฟดวงเล็ก ๆ เป็นประกายเจิดจรัสจำนวนมาก ส่องให้เห็นว่าในช่องอากาศขนาดใหญ่มีความลึกและมืดมิด

‘สิ่งที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋เคยพูดไว้ไม่มีผิด เมื่อข้าบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลที่ขัดเกลาทั้งพลังกายและปราณภายในแล้ว ข้าจะเปิดประตูเข้าสู่เรือนพำนักที่อยู่ในจี้หยกได้’ ชายหนุ่มนึกด้วยความรู้สึกตื่นเต้น

“สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้คืออะไร ช่างมหัศจรรย์นัก!” หลิงไป๋ทะยานวูบเข้าใกล้ปากทางที่กำลังเปิดกว้างทันที จากนั้นก็มองจากบนลงล่างด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

“ข้ากำลังจะไปที่ที่หนึ่ง เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่” เสียงเฉินซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบสายตาไปทางหลิงไป๋เป็นเชิงถาม หนุ่มน้อยคนนี้บอกว่าตัวเองเป็นจิตวิญญาณของกระบี่แดนนิพพานโบราณ ถ้ายอมให้จี้อวี๋เห็นตัวตนคนผู้นี้ บางทีชายชราอาจจะชี้แนะถึงต้นกำเนิดของเขาก็ได้

“อ้อ เจ้าเชิญข้าอย่างนั้นหรือ” หลิงไป๋พูดอย่างกับว่ากำลังขอความเห็นชอบ ทว่าแววตาของเจ้าตัวที่กำลังเขม้นมองไปที่ช่องทางเปิดกว้างเผยความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง

“แน่นอน” เฉินซีฟังแล้วได้แต่อมยิ้ม หลิงไป๋มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและมีความคิดใสซื่อเหมือนผลึกแก้วบริสุทธิ์ เป็นผู้น่าคบหามากคนหนึ่งทีเดียว

“เอาล่ะ ข้าจะตอบรับคำเชิญของเจ้า แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่เอาเป็นอย่างก่อนหน้านะ… อ้าว ไยนำไปก่อนเล่า ไม่สุภาพเอาเสียเลย… อ๊ะ รอข้าด้วยสิเจ้าบ้า!!!” ด้วยเหตุนี้เฉินซีและหลิงไป๋ได้ก้าวเข้าไปยังปากทางที่เปิดกว้างตามลำดับ

ไม่นานหลังจากที่คนทั้งสองลับกายหายไป ช่องทางเปิดกว้างก็หายไปเช่นกัน

ทุ่งหญ้าเขียวขจียาวไกลไปจนสุดลูกหูลูกตา แม่น้ำกว้างใหญ่ไหลหลากด้วยระลอกคลื่นสาดกระเซ็น หากชำเลืองเพียงแวบเดียวอาจไม่เห็นว่าภาพสายน้ำทอดยาวนี้จะสิ้นสุดลงที่ใด

ขุนเขาสูงชันราวกับจะพุ่งทะลุท้องนภาตั้งตระหง่านกลางแม่น้ำ แลดูสันโดษ เย็นเยือกและดำมืด บนนั้นไม่มีแม้แต่หญ้าสักต้น มันปกคลุมไปด้วยข้อห้ามต่าง ๆ มากมายเหลือคณาซึ่งเห็นได้อย่างเลือนราง และกำลังแผ่คลื่นพลังที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกลัว

เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทำให้เฉินซีหวนนึกถึงคราวที่ตนมาเยือนเป็นครั้งแรก ยามนี้ก็ยังอดตะลึงไม่ได้ “ขณะนั้นการฝึกฝนบ่มเพาะหยุดนิ่งอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สามเท่านั้น ทว่าเวลานี้ไม่เพียงพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดาราเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ทักษะแปรสภาพกายาควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้า ทำให้ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่บททดสองสรวงสวรรค์ขั้นแรก!”

“เฉินซีมาแล้วหรือ… ฮ่า ๆๆ! เร็วนี่!”

ตู้ม! ตู้ม!

ลูกคลื่นทะยานจากแม่น้ำขึ้นสู่ท้องฟ้าเกิดแรงสะเทือนเลือนลั่น พร้อมกันนั้นชายชราร่างผอมบางเหยียบอยู่บนน้ำขณะก้าวออกมา เขาคือจี้อวี๋นั่นเอง!

“ผู้อาวุโสจี้อวี๋!” เสียงเฉินซีเรียกขานเสียงสะท้านเมื่อมองเห็นบุคคลที่คุ้นเคย เห็นได้ชัดว่าความตื่นเต้นยินดีมากล้นนั้นกลั่นออกมาจากหัวใจ

“ไม่เลว เจ้าควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งปฐพีที่ห้าแล้ว” จี้อวี๋พิจารณาเฉินซีอย่างถ้วนถี่ พลันใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ตามปกติแล้วหาได้ยากนัก

เฉินซียิ้มกว้างขณะตอบว่า “ไม่นึกฝันว่าข้าจะได้ศิลาวิญญาณดารามาครอบครอง จึงทำให้สามารถพัฒนาขึ้นได้ในช่วงเวลาเพียงไม่นานขอรับ”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” จี้อวี๋พยักหน้าพลางกล่าวเป็นเชิงยอมรับ “วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ยาก แรกเริ่มเดิมทีข้าคิดว่าเจ้าต้องใช้เวลาสักสองสามปีเป็นอย่างน้อย แต่ไม่คิดว่าจะได้ครอบครองศิลาวิญญาณดารา โชคเข้าข้างเจ้าอย่างเยี่ยมยอดเช่นนี้”

เมื่อพูดถึงโชคเข้าข้าง ชายหนุ่มพานให้นึกถึงลูกไป๋คุยทันที จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายทันที “ผู้อาวุโสจี้อวี๋ เจ้าไป๋คุยอยู่ที่ไหนขอรับ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]