บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1121

บทที่ 1121 เจ็ดวันผ่านไป

บทที่ 1121 เจ็ดวันผ่านไป

ตราดาราม่วง ตราประจำสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า

เฉินซีรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดสามารถลอกเลียนแบบตรานี้ได้ และมีเพียงศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้นที่จะได้ครอบครองตรานี้ มันเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงตัวตนของพวกเขา ทั้งยังเป็นเกียรติภูมิยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า

สิ่งที่สำคัญที่จุด คือตราดาราม่วงมีคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์ใจมากมาย ซึ่งจะได้รู้ทั้งหมดก็ต่อเมื่อได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น

ขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีคุณสมบัติในการสอบคัดเลือกเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเข้าร่วมการทดสอบ ทุกคนจะต้องห้อยตรานี้ไว้ด้วยเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ ก็จะต้องคืนตราดังกล่าวกลับมา

ไม่ใช่แค่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น แต่สำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหกแห่งในภพเซียนล้วนแล้วแต่มีตราเฉพาะเป็นของตนเองเพื่อให้ศิษย์ของตนได้ห้อยไว้

“แต้มดาราคือสิ่งใดกัน?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย หลังจากที่สังเกตเห็นข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นบนตราดาราม่วงของตน

“คล้ายคะแนนสะสมในสำนัก หลังจากที่เจ้าเข้ามาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทุกสิ่งตั้งแต่การเข้าชั้นเรียน การบ่มเพาะ การได้รับเคล็ดวิชาหรือโอสถวิญญาณต่าง ๆ หรือแม้แต่การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นล้วนต้องใช้แต้มดาราทั้งสิ้น เจ้าจะเข้าใจถึงความสำคัญของมันมากขึ้น หลังจากที่เข้าไปศึกษาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว” เถี่ยชิวอวี้ตอบแบบรวบรัด

เฉินซีเข้าใจได้ในทันที ดูเหมือนจะเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ และใช้ทรัพยากรของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างเพลิดเพลินไม่ได้สินะ เมื่อเข้าไปแล้ว ข้าต้องตั้งใจทำงานอย่างหนัก แต่นั่นก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน การดิ้นรนเท่านั้นที่ทำให้คนพัฒนา หากอยู่ในที่ที่ได้อะไรมาอย่างง่ายดายเกินไป มีหวังข้าคงหมดใจในการต่อสู้ไปพอดี… เฉินซีพูดในใจ

ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงฝีเท้ากึกกักดังออกมาจากด้านนอก

“ตาเฒ่าเถี่ย ทายซิว่าข้าไปเจออะไรมา! อินเหมียวเมี่ยวกับเจียงจูหลิวออกมาจากโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปเนตรสวรรค์จริง ๆ!” เป็นเสียงของบุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสีขาว เขาสาวเท้าเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็วด้วยตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าหัวข้อสนทนาของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นเฉินซีอยู่ข้าง ๆ เถี่ยชิวอี้ “เฉินซี เจ้ามาแล้ว!” ชายหนุ่มยิ้มด้วยความประหลาดใจ

เฉินซีหยัดตัวขึ้นพลางประสานมือคำนับ “คารวะพี่ใหญ่กู่”

ชายหนุ่มสูงเพรียวในชุดสีขาวตรงหน้าคือกู่เยวหมิง พี่ชายของกู่อวี่ถัง ตอนนี้เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับสองของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปแห่งทวีปทักษิณา

กู่เยวหมิงประคองมือของอีกฝ่ายไว้พลางยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี เจ้าเป็นสหายของอวี่ถังหาใช่คนอื่นคนไกล นั่งลงเถิด”

เฉินซีพยักหน้าและนั่งลงอย่างว่าง่าย

สีหน้าของเถี่ยชิวอวี้คล้ายหม่นหมองลงเล็กน้อย ชายชราขมวดคิ้วมองกู่เยวหมิงก่อนจะพูดขึ้น “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ?”

กู่เยวหมิงตอบอย่างไม่ลังเล “จะไม่จริงได้อย่างไร ข้าเห็นมาด้วยสองตาเลยนะ”

เถี่ยชิวอี้ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม “สองคนนั้นไปร่วมมือกับตระกูลจั่วชิวได้อย่างไร? ตระกูลเก่าแก่เช่นนั้นไม่น่าจะมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขาแท้ ๆ”

กู่เยวหมิงเหยียดยิ้มก่อนจะทอดถอนใจ “นี่เป็นชะตาฟ้าลิขิต บางทีตระกูลจั่วชิวอาจจะนึกโปรดปรานพวกเขาขึ้นมา”

ท่าทีของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอิจฉาที่สองคนนั้นสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลจั่วชิวได้

กระนั้น ไม่นานชายหนุ่มก็จับสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปของเถี่ยชิวอวี้ ชายหนุ่มขบคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองไปยังเฉินซีด้วยปะติดปะต่อความเข้าใจบางอย่างได้เล็กน้อย

เนื่องจากทั้งอินเหมียวเมี่ยวและเจียวจูหลิวมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลจั่วชิว ดังนั้นพวกเขาจะต้องต่อสู้กับเฉินซีในระหว่างการทดสอบรอบที่สองเป็นแน่

ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าตน กู่เยวหมิง และเหลียงเริ่นจะอยู่ฝั่งเดียวกับเฉินซี แต่ก็เป็นการยากที่จะหลุดพ้นไปจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ได้

สาเหตุที่ตาเฒ่าเถี่ยมีสีหน้าหม่นหมองไม่ใช่ด้วยสิ่งใดอื่น หากเป็นเพราะชายชราคาดการณ์ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้จะยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่ความขัดแย้งในหมู่ของผู้คนบนทวีปทักษิณา แน่นอน ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นอาจเลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะกล้าคาดเดา

เฉินซีรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ทั้งสองกำลังคิดอยู่ภายในใจอย่างชัดเจน “ท่านพูดถูก แต่พวกเขาไม่ได้พบพานกันด้วยลิขิตฟ้า หากเป็นฝ่ายตระกูลจั่วชิวต่างหากที่ลากเส้นชะตา” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้ม

เถี่ยชิวอวี้และกู่เยวหมิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “เพราะเหตุใด?”

ใช่แล้ว เพราะเหตุใดผู้มีอิทธิพลในภพเซียนอย่างตระกูลจั่วชิวถึงได้คิดร่วมมือกับอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิว หากพูดเรื่องนี้เป็นคนอื่นฟัง พวกเขาคงจะนึกขบขันและไม่คิดถามถึงเหตุผล เห็นได้ชัดว่าข้อกล่าวอ้างนี้ดูเป็นการยกยออินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวให้ดูสำคัญเกินควรไปเสียหน่อย

สีหน้าของเฉินซีสงบนิ่ง “เพราะตระกูลจั่วชิวกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดข้า เมื่อเห็นว่าข้ากับอินเหมียวเมี่ยวเป็นศัตรูกัน ก็ไม่แปลกที่จะเลือกใช้นางเป็นเครื่องมือ”

เถี่ยชิวอวี้ตกตะลึง “เป็นความจริงหรือ?”

กู่เยวหมิงเองก็จับจ้องไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่คล้ายกับตรวจหาสิ่งผิดปกติ ชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเฉินซีไปเหยียบหางผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพเซียนอย่างตระกูลจั่วชิวได้อย่างไร

บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

เฉินซีหัวเราะขื่นพลางไหวไหล่เบา ๆ “นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ไม่มีเหตุผลอะไรให้ข้าต้องพูดเล่น”

เถี่ยชิวอวี้และกู่เยวหมิงมองหน้ากันไปมา และไม่อาจลบล้างร่องรอยตกใจบนใบหน้าของตนได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เถี่ยชิวอวี้ก็ส่ายหน้าพลางถอนใจ “แบบนี้ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ ในเมื่อตระกูลจั่วชิวหมายหัวเจ้าไว้เช่นนี้ พวกเขาจะต้องหาเรื่องเล่นงานเจ้า ไม่ก็เล่นตุกติกบางอย่างในระหว่างการทดสอบรอบที่สองเป็นแน่”

กู่เยวหมิงตะโกนเสียงเหี้ยมเกรียม “พวกเขาจะต้องต่อสู้กับเฉินซีซึ่ง ๆ หน้าอย่างแน่นอน เดิมทีข้าคิดว่าอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวโชคดียิ่งที่ได้ผูกมิตรกับตระกูลจั่วชิว ใครจะคิดว่าพวกเขาจะกลายเป็นเบี้ยหมากให้แก่คนพวกนั้นแทน ช่างไร้ยางอายเสียจริง”

เสียงคำรามเมื่อครู่ดังก้องกังวานอยู่ในอากาศ ครั้นเมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นมาจากนอกห้องโถง ร่างของอินเหมียวเมี่ยวและเจียงจูหลิวที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]