บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1333

สรุปบท บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอน บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่เขียนโดย novelones เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน

บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน

ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ขณะที่กล่าว ซุ่ยเหรินถิงพลันสะบัดแขนเสื้อ และเจดีย์หยกโบราณสีดำก็หมุนวนไปรอบ ๆ บีบให้ธารเลือดสีทองของราชันเซียนพุ่งออกมาจากภายใน และกลายเป็นแม่น้ำที่พุ่งทะลุท้องฟ้า

เลือดสีทองนั้นแฝงไปด้วยกฎแห่งราชันเซียน แผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา และเมื่อมันมาบรรจบจนเป็นแม่น้ำ มันก็สว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปทุกยุคทุกสมัย ปรากฏเป็นภาพที่หวาดหวั่นใจ

เลือดเหล่านี้มาจากราชันเซียนทั้งสอง ซึ่งคือเล่อเชียนโฉวและเป่ยห่าวหลิง!

ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคือเจ้านิกายยุคแรกกำเนิด ซึ่งเป็นนิกายสูงสุด แต่ตอนนี้ พวกเขากลับมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของซุ่ยเหรินถิง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชีวิตจะดับสูญ แต่ร่างกาย วิญญาณ เลือด และการบ่มเพาะกลับถูกถวายเป็นเครื่องบูชายัญ มันจึงน่าสมเพชเหลือคณนา

นี่คือวิธีการของนิกายอำนาจเทวะ!

ไร้อารมณ์ โหดเหี้ยม และทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย!

ครืน!

ในขณะที่เฝ้าดูแม่น้ำเลือดของราชันเซียนที่มีสีทองสดใส ซึ่งกลายเป็นแสงสาดส่องไปทั่วมิติอันไร้ขอบเขต และพุ่งเข้าสู่ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ที่วางไว้เมื่อนานมาแล้ว ซุ่ยเหรินถิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“โชคดีที่เราได้รับความช่วยเหลือจากเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ในครั้งนี้ มิฉะนั้นเราอาจต้องเจอศึกหนักเพื่อฆ่าไอ้บัดซบสองตัวนั้น” ซุ่ยเหรินถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มันก็แค่ไอ้โง่สองตัวที่ดวงจิตแห่งเต๋าถูกครอบงำด้วยความโลภ ทันทีที่ได้ยินว่าจะสามารถกลายเป็นเทพได้ เมื่อนั้นก็กลายเป็นเบี้ยในมือของเราแล้ว ช่างน่าสมเพชอย่างแท้จริง” เจี้ยงหลิงเซียวกล่าวอย่างดูถูก

หลังจากนั้น คิ้วที่สวยงามของนางก็ขมวดเข้าหากัน “อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่ซุ่ยเหริน แม้ว่าค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์จะได้รับการถวายด้วยชีวิตของราชันเซียนถึงสองคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำลายล้างสืออวี๋และคนอื่น ๆ”

“อย่าได้กังวลศิษย์น้อง ก่อนที่เราจะมาถึงซากโบราณสถานแรกกำเนิด ท่านอาจารย์ได้ทำนายถึงสมบัติที่ตำหนักเต๋าหนี่หวาจัดเตรียมไว้ ดังนั้นจึงอนุญาตให้ข้านำกระจกปฐพีไร้ขอบเขตมาด้วยเป็นกรณีพิเศษ” ท่าทางของซุ่ยเหรินถิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิและความมั่นใจ

“ข้าได้วางสมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นการทำลายราชันเซียนทั้งสามจึงง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ คือรอผลลัพธ์อย่างใจเย็นก็พอ”

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ดวงตาของเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วยแสงเรืองรอง “เมื่อถึงเวลานั้น สมบัติต่าง ๆ ที่อยู่ในการครอบครองของพวกมัน ก็จะตกเป็นของเรา ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

ทันทีที่สิ้นคำ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการหัวเราะลั่นได้

เจี้ยงหลิงเซียวย่นริมฝีปากของนางและหัวเราะอย่างไม่รู้จบเช่นกัน ท่าทางก็อ่อนโยนและถ่อมตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวกลับเฉยเมยและไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง

หลังจากผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อเฉินซีฟื้นความรู้สึก การต่อสู้ก็สงบลงแล้ว

ในระยะสายตา ซากศพ เลือด โครงกระดูก และมิติที่กว้างใหญ่นั่นพังทลายกระจายตัวออกไปทั่วบริเวณโดยรอบ… กระแสห้วงมิติที่ปั่นป่วนกำลังฟื้นคืนความสงบ แต่กลิ่นคาวเลือดและจิตสังหารที่ปกคลุมฟ้าดินกลับไม่สามารถขจัดออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น

มันจบลงแล้วหรือ?

ศพของเทพโลหิตโบราณจำนวนหลายหมื่นศพ และศพของราชันเซียนโบราณสี่ศพล้วนถูกทำลายล้างไปหมดแล้วหรือ?

เฉินซีลืมตาให้กว้างขึ้น แทบไม่กล้าเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

หากกล่าวอย่างมีเหตุผล เขาควรจะรู้สึกยินดี แต่เมื่อจ้องมองไปที่เตียนเตี้ยน สืออวี๋ และเซียงหลิวหลี หัวใจกลับกระตุกอย่างรุนแรง

เพราะสีหน้าของพวกเขายังตึงเครียดไม่เสื่อมคลาย มันดูน่ากลัวยิ่งกว่าก่อนเริ่มการต่อสู้เสียอีก

หรือว่า… การต่อสู้จะยังไม่จบ?

ใช่แล้ว มันยังไม่จบ!

ในไม่ช้า เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าแม้ว่าซากศพจะถูกกวาดล้างออกไปแล้ว แต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ยังคงลอยอยู่ในบริเวณโดยรอบ ยิ่งไปกว่านั้น ศพที่แหลกเละ คราบเลือดสีแดงเข้ม และกองกระดูกที่ปกคลุมท้องฟ้า ล้วนแต่ถูกปกคลุมด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง และค่อย ๆ ขยับเขยื้อนทีละน้อย

พลังนั้นเป็นสีดำสนิทที่ดูคลุมเครือ มันแพร่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ในขณะเดียวกันก็แผ่ซ่านพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวของหายนะ

“นี่คือ…” เฉินซีรู้สึกผวา ในขณะที่ความหวาดกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ราวกับกำลังเผชิญกับหายนะอันน่าสยดสยอง

“ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ เป็นหนึ่งในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณของนิกายอำนาจเทวะที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันสามารถบดขยี้ทวยเทพและทำลายมหาเต๋า ว่ากันว่าความตายจะไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าหายนะจะสิ้นสุดลง” เสียงของเตียนเตี้ยนดังก้องอยู่ในหู น้ำเสียงหนักอึ้งจนไม่สามารถปกปิดได้

เฉินซีเข้าใจอย่างฉับพลัน แต่คลื่นพายุก็เกิดขึ้นในใจของเขาเช่นกัน “ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ และจากสถานการณ์ปัจจุบัน พวกมันคิดจะทำลายล้างพวกเราที่นี่!”

“ไยเรา… ถึงไม่ทำลายค่ายกลนี้ล่ะ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นราชันเซียนทั้งสามยืนคร่ำเครียดอยู่กับที่

“ปฏิบัติการของนิกายอำนาจเทวะนั้นไม่ง่ายนัก เรารอดูท่าทีกันก่อนเถอะ” สืออวี๋ตอบอย่างใจเย็น “หากเราทำอะไรบุ่มบ่ามในเวลานี้ เกรงว่าเราอาจติดอยู่ในค่ายกล และเพลี่ยงพล้ำ”

เฉินซีขมวดคิ้ว และไม่เห็นด้วยกับความคิดที่คล้ายกับการรอคอยความตายเช่นนี้

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น พลางอนุมานในใจอย่างเงียบ ๆ ในท้ายที่สุด เขาสังเกตเห็นว่า ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณจากนิกายอำนาจเทวะมีพลังที่คลุมเครือ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถอนุมานและมองทะลุความเป็นจริงได้

ไม่ใช่ว่าการบ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะขอบเขตการบ่มเพาะที่ต่ำเกินไป ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับพลังงานที่อยู่ภายในค่ายกลอย่างยิ่ง ทำให้ไม่สามารถอนุมานอะไรได้เลย

การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง แสงอันศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมท้องฟ้า ในขณะที่พลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวได้ท่วมท้นเป็นระยะสองหมื่นห้าพันลี้

ในทางกลับกัน เฉินซีได้สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย รับรู้เพียงว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ น่าสะพรึงและเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งก่อนนัก หากเตียนเตี้ยนไม่แบ่งพลังบางส่วนเพื่อปกป้องเขา ตัวตนเช่นเขาคงสลายหายไปในวงต่อสู้อันกว้างใหญ่นี้แล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้น่าอึดอัดยิ่ง!

มันเหมือนกับว่าชะตากรรมของเขาถูกล่ามโซ่ และอยู่ในกำมือของผู้อื่น ไร้ซึ่งพลังที่จะต่อต้าน

เฉินซีไม่ชอบความรู้สึกดังกล่าว และเกลียดมันจากก้นบึ้งของหัวใจ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หากไม่มีราชันเซียนทั้งสามนี้อยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่รอถูกเชือดอย่างแท้จริง

‘ความแข็งแกร่ง!’ เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในใจของเฉินซี แม้ว่าจะเป็นเพียงคำเดียว แต่ก็อธิบายความปรารถนาของเขาได้อย่างชัดเจน เพราะความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้!

“ไม่ได้การ! นี่คือพลังของกระจกปฐพีไร้ขอบเขต!”

“ว่าอะไรนะ? ไอ้บัดซบซุ่ยเหรินถิงนั่นได้ใช้กระจกปฐพีไร้ขอบเขต เป็นรากฐานของค่ายกลนี้จริง ๆ!”

“ระวัง!!!”

ทันใดนั้น เสียงอุทานด้วยความตกใจของสืออวี๋ เตียนเตี้ยน และเซียงหลิวหลีซึ่งโกรธจัดได้ดังก้องอยู่ในหูของเขา และมันทำให้เฉินซีกลับมามีสติอีกครั้ง

ครืน!

ก่อนที่เฉินซีจะฟื้นคืนความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์ พลันรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นอย่างรุนแรง กระดูกในร่างราวกับถูกทุบเป็นชิ้น ๆ และถูกเผา กลิ่นอายแห่งหายนะที่ไม่มีใครเทียบได้และเลือดของราชันเซียนได้พุ่งเข้าสู่ร่างกายเหมือนฝูงอาชาป่า พวกมันต่างโหมกระหน่ำอย่างดุเดือด ในขณะที่ความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดจะพรรณนาได้แล่นไปทั่วกาย มันทรมานจนเขาไม่อาจควบคุมตัวเองและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะระเบิด!

โอม!

ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ คลื่นพลังผันผวนอันแปลกประหลาดก็แผ่ขยายออกมาจากห้วงจิตสำนึกของเขา มันแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ และแท้จริงแล้ว มันเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด ขณะที่มันกวาดเลือดของราชันเซียนที่พลุ่งพล่านภายในร่างออกไป

ด้วยเหตุนี้ ความเจ็บปวดอันรุนแรงก็ค่อย ๆ ทุเลาลง แต่กลิ่นอายแห่งหายนะยังคงอยู่ โดยมีเป้าหมายกัดกร่อนรากฐานแห่งเต๋า และทำลายล้างวิญญาณ!

อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ปลดปล่อยคลื่นพลังผันผวนออกมา กระบี่เต๋าวิบัติที่วางอยู่อย่างเงียบ ๆ ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายในร่างของเฉินซีก็เริ่มส่งเสียงพึมพำเช่นกัน แสงสีแดงเลือดหลั่งไหลไปทั่วคมกระบี่ และจากนั้น ลวดลายของดอกบัวที่มีอยู่อย่างหนาทึบซึ่งทับซ้อนกันหลายชั้นก็เบ่งบาน

โครม!

เมื่อลวดลายของดอกบัวควบแน่นจนกลายเป็นรูปร่าง กลิ่นอายที่ผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวไม่เพียงแต่กลืนกินกลิ่นอายแห่งหายนะภายในจนหมด มันยังส่งเสียงดังก้องขณะที่พุ่งออกมาจากร่าง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]