บทที่ 1527 ขึ้นไปทีละด่าน
……….
บทที่ 1527 ขึ้นไปทีละด่าน
ตะเกียงสุญญจักรวาลลอยอยู่กลางอากาศ และเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา
ตะเกียงนี้สูงเก้าชุ่นและมีสีขาวบริสุทธิ์ราวกับถูกแกะสลักจากน้ำแข็ง มันมีรูปร่างเหมือนดอกบัวที่กำลังเบ่งบาน และมีไส้ตะเกียงอยู่ที่ใจกลางของดอกบัว
ฟิ่ว!
กระแสพลังแห่งความโกลาหลอันศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นแสงบริสุทธิ์ที่กวาดออกมาราวกับกระแสน้ำ ส่องสว่างไปทั้งฟ้าดิน มันส่องแสงแวววาวอย่างยิ่ง และกลิ่นอายที่แผ่ออกมานั่นมีอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว ที่สามารถขจัดและทำลายความชั่วร้ายทั้งปวงในโลกได้
สมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นนี้ถูกนำมาจากภายในความโกลาหลโดยหนี่หวา จากนั้นนางก็กลั่นมันด้วยพลังแสงสูงสุดอยู่เนิ่นนานหลายปีจนไม่อาจนับ ทำให้มันครอบครองพลังที่ไม่อาจหยั่งถึง มันอยู่ในอันดับที่ยี่สิบเจ็ดในบรรดาสมบัติวิญญาณธรรมชาติทั้งร้อยแปดชิ้น!
ในช่วงวิกฤตนี้ ชิงซิ่วอี้ได้ใช้มันทำลายล้างศิษย์ชั้นยอดจากนิกายอำนาจเทวะ ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างตกตะลึง เจี้ยงหลิงเซียวและคนอื่น ๆ กรีดร้องออกมาอย่างโกรธแค้น ขณะหลบหลีกติดต่อกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในทางกลับกัน เฉินซีหยุดเคลื่อนไหว และรู้สึกตกตะลึงในใจเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ชิงซิ่วอี้ได้พุ่งเข้าสู่ด่านที่สิบแปดของแดนอำนาจเทวะ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้ใช้สมบัติอมตะแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ทว่าทันทีที่ต่อสู้กับเจี้ยงหลิงเซียวและคนอื่น ๆ นางถึงกับก็ต้องใช้ธรณีชะตาเก้าชั้นสรวง เชือกพันธนาการเทพ และตะเกียงสุญญจักรวาล ซึ่งสมบัติเหล่านี้แต่ละชิ้นล้วนมีพลังที่น่าเกรงขาม และทั้งหมดเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติ!
สมบัติดังกล่าวทำให้นางสามารถทำล้างศิษย์ชั้นยอดสองคนของนิกายอำนาจเทวะที่บรรลุขอบเขตราชันเซียนระดับเลิศล้ำได้ ในขณะที่นางอยู่ในติดอยู่ในวงล้อม เห็นได้ชัดว่านางเตรียมพร้อมมาอย่างดี เมื่อบุกเข้าไปในนิกายอำนาจเทวะด้วยตนเอง
…
ครืน!
พลังแสงพุ่งออกมาราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำ และแผ่ซ่านออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด
ภายใต้แรงกดดันดังกล่าว เจี้ยงหลิงเซียวและศิษย์ชั้นยอดสองคนสุดท้ายทำได้เพียงต้านทานอย่างสุดความสามารถเท่านั้น และยามนี้ที่สถานการณ์พลิกผัน มันก็ทำให้พวกมันตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ
แม้ว่าชิงซิ่วอี้จะได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็ครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติสามชิ้น ดังนั้นต่อเจี้ยงหลิงเซียวและศิษย์ชั้นยอดอีกสองคนมีฝีมือแกร่งกล้าเพียงใด พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรกับนางได้
ที่สำคัญที่สุด ในบรรดาราชันเซียนทั้งสามนี้ มีเพียงเจี้ยงหลิงเซียวเท่านั้นที่มีสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ และไม่ต้องกล่าวถึงสมบัติวิญญาณธรรมชาติเลย…
ในแง่ของสมบัติ พวกมันถูกสยบอย่างสมบูรณ์แล้ว
นี่ไม่ได้หมายความว่าทรัพยากรและความมั่งคั่งของนิกายอำนาจเทวะด้อยกว่าตำหนักเต๋าหนี่หวา แต่เป็นเพราะนิกายอำนาจเทวะมีศิษย์และผู้อาวุโสอยู่มากมาย ดังนั้นไม่ว่าจะครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติสักกี่ชิ้น มันก็ไม่เพียงพอที่จะแจกจ่ายให้กับทุกคน
ในแง่ของการบ่มเพาะและพลังฝีมือ แม้ว่าชิงซิ่วอี้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับคนใดคนหนึ่งในนั้นได้อย่างสูสี
ในสถานการณ์เช่นนี้ เจี้ยงหลิงเซียวและคนอื่น ๆ สูญเสียความได้เปรียบในการต่อสู้โดยสิ้นเชิง
โครม!
หลังจากนั้นไม่นาน ชิงซิ่วอี้ก็ฉวยโอกาสและใช้เชือกพันธนาการเทพเพื่อพันธนาการศิษย์ชั้นยอดของนิกายอำนาจเทวะ จากนั้นนางก็ใช้ตะเกียงสุญญจักรวาลเพื่อเผาศิษย์ชั้นยอดคนนั้นให้เป็นจุณ
ยิ่งกว่านั้น เสียงร้องโหยหวนและทรมานของศิษย์ชั้นยอดคนนั้นก่อนตาย ทำให้ผู้ได้ยินขนลุกไปทั้งตัว
เหตุการณ์นี้บดขยี้จิตวิญญาณนักสู้ของเจี้ยงหลิงเซียวและศิษย์ชั้นยอดคนอื่น ๆ โดยตรง พวกมันต่างหันหลังหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง เพราะเล็งเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะพลิกสถานการณ์ได้อีก
ฟิ่ว!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชิงซิ่วอี้ก็ออกคำสั่ง เชือกพันธนาการเทพลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายไป เมื่อมันปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ไล่ตามศิษย์ชั้นยอดคนหนึ่งทันแล้วพันธนาการไว้ ทำให้เขาร้องเสียงหลงด้วยความหวาดกลัวและโกรธเกรี้ยว แต่ไม่สามารถดิ้นรนหลุดพ้นได้
ครืน!
ธรณีชะตาเก้าชั้นสรวงกลายเป็นเมฆสีเหลือง ตรงเข้าบดขยี้ศิษย์ชั้นยอดคนนั้นเป็นผุยผงในพริบตา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป นับตั้งแต่ตอนที่เจี้ยงหลิงเซียวและศิษย์ชั้นยอดคนอื่น ๆ หนีกระเจิง จนถึงจุดที่ชิงซิ่วอี้ใช้เชือกพันธนาการเทพเพื่อยับยั้งศิษย์ชั้นยอดคนนั้น ทั้งหมดนี้เสร็จสมบูรณ์ในหนึ่งลมหายใจ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การต่อสู้ครั้งนี้รุนแรงและน่ากลัวเพียงใด
“นังสารเลว! อีกไม่นานข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างไร้แผ่นดินฝัง!” เสียงของเจี้ยงหลิงเซียวเต็มไปด้วยความโกรธสุดขีด ร่างของนางพลันเปล่งประกาย ก่อนจะหายตัวไปจากด่านที่สิบเก้า
เมื่อเฉินซีเห็นเหตุการณ์นี้จากระยะไกล พลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะระงับจิตสังหารในใจ ไม่ได้ไล่ตามสังหารเจี้ยงหลิงเซียว เพราะปัจจุบัน อินไฮว่คงศิษย์คนโตของนิกายอำนาจเทวะยังไม่ได้เผยตัวออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่เผยตัวตนล่วงหน้า
หลังจากที่เจี้ยงหลิงเซียวจากไป ชิงซิ่วอี้ก็ไม่ได้ไล่ติดตามนางเช่นกัน หญิงสาววาดท่าทางด้วยมือที่ประณีต เพื่อนำสมบัติวิญญาณธรรมชาติทั้งสามกลับมา จากนั้นก็ส่งเสียงครวญครางเบา ๆ สีหน้าซีดลงยิ่งกว่าเดิม
พรวด!
หลังจากนั้น นางก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างระหงทรุดลงอย่างอ่อนแรง
ก่อนหน้านี้ นางได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว และจากนั้นก็ยังใช้สมบัติวิญญาณธรรมชาติสามชิ้นติดต่อกัน แม้จะเอาชนะศัตรูได้ แต่ก็ต้องแลกกับการใช้พลังไปมหาศาล เพราะพวกมันคือสมบัติวิญญาณธรรมชาติ ซึ่งว่ากันว่ามีเพียงผู้ที่บรรลุขอบเขตเทวาเท่านั้นที่สามารถดึงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ และอัตราการดูดพลังของพวกมันก็น่าตกตะลึงถึงขีดสุดเช่นกัน
การที่ชิงซิ่วอี้สามารถใช้พวกมันได้จนถึงขณะนี้ ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าการบ่มเพาะของนางนั่นลึกล้ำเพียงใด และหากเป็นราชันคนอื่น ๆ ก็คงไม่มีพลังแม้แต่จะก้าวเดิน
“ตอนนี้ข้าอยู่แค่ด่านที่สิบเก้าเท่านั้น…” ชิงซิ่วอี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ และดึงขวดยาออกมา ก่อนที่จะกลืนทั้งหมดลงไป หลังจากนั้น กลิ่นอายที่เสื่อมลง ก็ฟื้นคืนสภาพทันทีด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
เพียงไม่กี่ลมหายใจ พละกำลังที่โรยรินก็ฟื้นคืนเกือบทั้งหมด ในขณะที่ใบหน้าซีดเซียวค่อย ๆ ซับสี
นางเม้มริมฝีปากสีแดง ชายเสื้อสีขาวไหวกระพือ ขณะที่หญิงสาวเปล่งประกายอีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่คิดที่จะล่าถอยแม้แต่น้อย
แน่ชัดแล้วว่านางได้เตรียมการทุกอย่างสำหรับการต่อสู้ในวันนี้…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...
ลงวันละหลายตอนใต้ใหม่ครับ...