บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1625

สรุปบท บทที่ 1625 การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอน บทที่ 1625 การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1625 การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่เขียนโดย novelones เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 1625 การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ

…………….

บทที่ 1625 การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ

ผืนดินรกร้างกว้างใหญ่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำหนาแน่น

มวลมหาคลื่นแห่งความวิปโยคส่งเสียงแหลมหวีดหวิว กังวานก้องไปทั่วม่านหมอกดำ มันเป็นเสียงคำรามของดวงวิญญาณแปดเปื้อนซึ่งน่าสะพรึงกลัวประหนึ่งเสียงครวญคร่ำแห่งจอมมาร

เฉินซีถือยันต์ศัสตราไว้ในมือ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกุมมือของเถี่ยอวิ๋นผิงเอาไว้ เขาพานางฝ่าผ่านหมอกมืดดำซึ่งรายล้อมไปด้วยดวงวิญญาณแปดเปื้อนอย่างรัศมีแห่งแสงที่ไร้คลื่นคำรน

พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก พร้อมกับล่าสังหารไปตามรายทาง

ทุกแห่งหนที่ผ่าน ซากศพของดวงวิญญาณแปดเปื้อนซึ่งต้องคมเฉือนก็ร่วงหล่นสู่พื้นดินก่อนจะสลายเป็นธุลีในที่สุด อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำต่อวิญญาณเหล่านั้น ไม่ต่างอันใดจากการกวาดใบไม้แห้งกองหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา สีหน้าของเฉินซีนั้นดูเคร่งขรึมยิ่ง ดวงตาที่กะพริบถี่เต็มไปด้วยความระแวดระวังซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ประกายเยือกเย็น

อย่างที่กวนหงอวี่ได้ว่าไว้ พวกเขาเดินทางมาร่วมสามหมื่นลี้แล้ว และตอนนี้กำลังเข้าสู่เขตแดนของกระบี่มลทินอเวจี

ทั่วทั้งเขตแดนนี้ปกคลุมไปด้วยชั้นของจิตสังหารอันน่าสยดสยอง สัมผัสที่คล้ายจะมีรูปร่างให้จับต้องเกาะกุมจิตใจและวิญญาณให้ตกในห้วงหวาดผวา

จำนวนของดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่นี่ลดลงอย่างรวดเร็ว พวกมันเริ่มบางตาลงจนยากจะค้นพบ

ฟ้าดินอันไพศาลหนาแน่นไปด้วยปราณมลทินอเวจีที่เดือดพล่านอย่างเพลิงกาฬ มันเงียบสงบ ลึกลับ และน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

ด้วยความแข็งแกร่งของเฉินซีในปัจจุบัน เขายังคงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันกล้าแกร่ง ลางสังหรณ์บอกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างเผลอตัว ใบหน้าคมคายสะท้อนความแน่วแน่ เด็ดเดี่ยว ในตอนนั้นเขาเลือกที่เพิกเฉยต่อท่าทีขัดขืนของเถี่ยอวิ๋นผิงและจับนางใส่ลงไปในสมบัติศักดิ์สิทธิ์เป็นการชั่วคราว

หลังจากนั้น เขาก็มุ่งหน้าต่อไปเพียงลำพัง

ทั่วทั้งเขตแดนซึ่งอยู่ภายใต้กระบี่มลทินอเวจีไม่มีเหล่าวิญญาณแปดเปื้อนหลงเหลืออีกต่อไป ดังนั้นหากเถี่ยอวิ๋นผิงยังคงติดตามอยู่ข้างกายเช่นนี้ ก็มีแต่จะสร้างภาระให้เขาเท่านั้น

ไม่จำต้องกล่าวถึงว่าจำนวนของวิญญาณแปดเปื้อนที่พวกเขาสังหารไปนั้นมากน้อยเพียงใด เพราะอย่างไรแล้วพวกมันก็เพียงพอที่จะทำให้นางขึ้นสู่สิบอันดับแรกได้อย่างง่ายดาย

ตลอดหนทางที่ทอดยาว ต้นอ่อนเงาทมิฬภายในจักรวาลร่างกายดูดกลืนปราณมลทินอเวจีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกมากเท่าไร ปริมาณของปราณมลทินอเวจีก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกโล่งใจ ก็คือความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในอดีต มันเป็นแต่เพียงต้นอ่อนเล็ก ๆ ที่มีลำต้นแข็งแรงและใบเขียวขจี ทว่าในยามนี้ มันกลับสะพรั่งไปด้วยกิ่งก้านสาขา หยัดยืนตระหง่านกลางเมฆาอย่างมั่นคง

ประโยชน์ที่เฉินซีได้รับจากสถานการณ์นี้ก็คือ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทะลักออกมาราวน้ำพุตลอดเส้นทาง สิ่งนี้ทำให้เขาไม่ต้องพึ่งพาผลึกศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป

เมื่อรวมกับการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าที่บรรลุถึงขอบเขตทารกดวงใจแล้ว ชายหนุ่มสามารถต่อสู้ได้เรื่อย ๆ อย่างไม่จำเป็นต้องพักเลยทีเดียว

มันเป็นสภาวะที่แทบไม่ต่างจากตอนที่เขาอยู่ในสามภพเลยสักนิด

ดวงจิตแห่งเต๋าที่ทรงพลัง ทำให้ความทนทานต่อการต่อสู้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ต้นอ่อนเงาทมิฬก็คอยทำให้เขามีพลังในการต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ด้วยการร่วมมือของทั้งสองสิ่ง เฉินซีไม่หวาดกลัวต่ออุปสรรคหรือการต่อสู้ที่สาหัสเลยแม้แต่น้อย

อย่างเช่นเมื่อครั้งที่ผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างกวนหงอวี่เผชิญกับการบุกโจมตีของกองทัพวิญญาณแปดเปื้อน และถูกกดดันจนถึงจุดที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพลดฮวบลง จนเกือบจะถูกกำจัดลงเสียแล้ว

เหตุผลนั้นเป็นเพราะกวนหงอวี่ขาดพลังที่จะรักษาสภาพการต่อสู้เอาไว้ ผิดจากเฉินซีที่ไม่มีปัญหาเหล่านั้นให้กังวล

อย่างไรก็ดี สิ่งนี้ยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดแก่ต้นอ่อนเงาทมิฬ ด้วยเหตุนี้เฉินซีจึงยังเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ต้นอ่อนเงาทมิฬก็เพียงต้นอ่อนเช่นนั้น พลังของมันจะก้าวไปถึงขีดสุดก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬแล้วเท่านั้น!

ในช่วงยุคบรรพกาล ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแผ่สาขาใต้ร่มเงาของความโกลาหลและเชื่อมโยงภพเซียนเข้ากับภพมนุษย์เป็นดั่งเทพผู้ไม่มีใครเทียบ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ไพศาลอย่างไร้สิ้นสุดของมันสร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นทั่วทั้งจักรวาล การดำรงอยู่ของมันเทียบได้กับจักรพรรดิมด ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล ฝูซี หนี่หวา และประมุขนิกายอำนาจเทวะ!

เนื่องจากแก่นแท้สสารของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬถูกทิ้งเอาไว้ภายในต้นอ่อนเงาทมิฬ ด้วยเหตุนี้ หากต้นอ่อนเงาทมิฬสามารถวิวัฒนาการตัวเองได้สำเร็จ ความสามารถของมัน ก็คงจะยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ

ท่ามกลางความเงียบงัน จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

ใบหน้าที่เคร่งขรึมกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มเหมือนกับลูกธนูที่ถูกง้างอย่างสุดกำลัง พร้อมที่จะรับมือกับอันตรายทุกเวลา

เท้ายังคงสืบไปเบื้องหน้า

ภายใต้โลกสีดำอันไร้ขอบเขตนี้ คล้ายเป็นผู้เดียวที่ดำรงอยู่ ชายหนุ่มเดิมไปตามลำพังท่ามกลางโลกที่กว้างใหญ่เสียจนเขาดูตัวเล็กจ้อย

ทันใดนั้น เฉินซีระงับการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

จากการประมาณ ม่านแห่งราตรีกาลคงกำลังคืบคลานออกมาในอีกหนึ่งเค่อต่อจากนี้

ทว่าคราวนี้ เฉินซีไม่คิดจะซ่อนตัวอีก อย่างไรการชุมนุมล่าดาราก็จะสิ้นสุดลงในวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เขาจะอยากอยู่ที่นี่ต่อขนาดไหนก็คงเป็นไปไม่ได้

และนั่นหมายความว่า หากต้นอ่อนเงาทมิฬไม่สามารถวิวัฒนาการได้สำเร็จในคืนนี้ เขาก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!

เฉินซีไม่รู้เลย จักรพรรดินี้อวี้เชอเองก็ใช้โอกาสสุดท้ายในคืนนี้ไปกับการปราบกระบี่มลทินอเวจีเช่นกัน

แม้ทั้งสองจะมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน หากนั่นกลับเชื่อมโยงกันอย่างประหลาด

หากจะพัฒนาต้นอ่อนเงาทมิฬให้สำเร็จ ก็จำเป็นที่จะต้องดูดซับปราณมลทินอเวจี และปราณมลทินอเวจีนั้น ก็ไหลเวียนออกมาจากกระบี่มลทินอเวจี

กล่าวได้ว่าสิ่งที่เฉินซีกำลังตามหามาตลอดนั้น มีความเกี่ยวข้องกับกระบี่มลทินอเวจีทั้งสิ้น

หนึ่งเค่อต่อมา ม่านดำแห่งรัศมีก็ปกคลุมไปทั้งเขตแดน

เฉินซีดวงตาหรี่ลงขณะที่ขบกรามแน่น เขาตั้งใจที่จะอำพรางรัศมีของต้นอ่อนเงาทมิฬอย่างที่เคยทำมาในอดีต

ทว่าฉับพลันนั้นเอง กระแสคลื่นผันผวนแห่งความศักดิ์สิทธิ์อันกล้าแกร่งก็ปะทุออกมาจากร่างกายพร้อมกับเสียงดังก้อง ทำเอาทั้งกายแข็งทื่อไปในทันใด

ตู้ม!

หลังจากนั้น ต้นอ่อนเงาทมิฬก็พุ่งออกมาจากร่างกาย มันเป็นเหตุการณ์ที่เฉินซีไม่อาจยับยั้งไว้ได้ แม้เขาจะใช้พลังทั้งหมดที่มีก็ตาม!

ถึงอย่างนั้น เรื่องที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นกับเฉินซีอย่างต่อเนื่อง ต้นอ่อนเงาทมิฬเป็นฝ่ายเปิดการโจมตีในครั้งนี้ มันปลดปล่อยโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีเขียวสดที่กวัดแกว่งอย่างบ้าครั้งราวกับแส้ศักดิ์สิทธิ์ออกมา ก่อนจะพุ่งทะลุผ่านมิติโดยรอบไปยังที่ซึ่งห่างไกลออกไป

แกร๊ง!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง กระบี่มลทินอเวจีก็ชักคมออกจากฝัก ผิวที่อาบไล้ไปด้วยมลทินปลดปล่อยปราณกระบี่สีเทาที่ห้อมล้อมด้วยหมอกมัวออกมา

ทันในนั้น แผ่นดินถูกแผ่นเป็นสองฝั่ง ครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยปราณกระบี่อันชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เขียวขจี เป็นภาพที่เกินความคาดหมายเสียจนนึกตะลึงลานอย่างอดไม่ได้

หลังจากนั้น เสียงกึกก้องก็กัมปนาทไปถ้วนทั่ว เพราะ ‘แผ่นดิน’ ซึ่งถูกแบ่งแยกนี้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ปราณกระบี่โหมการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้ากวาดไล้ไปทั่วบริเวณ

เฉินซีแสบแก้วหูราวกับมันจะขาดผึ่ง ดวงจิตแห่งเต๋าสะท้านไหว อย่าว่าแต่เข้าไปช่วยสนับสนุนเลย แม้แต่การป้องกันตัวจากแรงโจมตีนี้ เฉินซียังต้องทุ่มความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีออกมาใช้

การปะทะกับระหว่างยอดแห่งความแข็งแกร่งทั้งสองน่ากลัวเกินไปจริง ๆ แม้ว่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจะอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล่าถอย ด้วยไม่คุ้มที่จะเอาตัวเองไปแบกรับหรือต้านทานพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้!

“หืม?”

“ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ!”

“ไม่คิดมาก่อนว่าชีวิตนี้ข้าจะได้เห็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าดินปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดกระบี่มลทินอเวจีถึงได้กระวนกระวายใจเช่นนี้…”

“ข้ารู้แล้ว นี่คงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เอกภพจักรวรรดิกล่าวถึง! อวิ๋นชิง อย่าได้เสียเวลาต่อไปอีกเลย คอยคุ้มกันข้าด้วย!”

“รับด้วยเกล้า!”

บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เมื่อต้นอ่อนเงาทมิฬปรากฏตัวขึ้นและทำให้กระบี่มลทินอเวจีเผยตัวก่อนถึงเวลาอันควร ทั้งจักรพรรดินีอวี้เชอและอวิ๋นชิงต่างก็ให้ความสนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ในแทบทุกฝีก้าว

ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทั้งสองคู่ของพวกเขาฉายวาบซึ่งประกายอันศักดิ์สิทธิ์ ความมุ่งมั่นอันไร้สิ้นสุดเอ่อล้นขึ้นภายในห้วงวิญญาณซึ่งเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

จักรพรรดินีอวี้เชอลงมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยซึ่งผิดกับนางในอดีตนัก อาภรณ์สีแดงสะบัดไหวอย่างรวดเร็ว เรือนกายอันเพรียวบางและสง่างามฉายประกายยามเคลื่อนคล้อยไปในอากาศ เป็นตอนนั้นเองที่นางชักกระบี่พิฆาตฟ้าในมือมั่น

ขวับ!

คมกระบี่ของนางซัดสาดยังทิศทางของกระบี่มลทินอเวจี

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ยอดคนทั้งหลายที่อยู่โดยรอบตกตะลึง ม่านแห่งรัตติกาลเพิ่งจะย่างกรายเข้ามาเท่านั้น ซ้ำร้าย เทียบอันดับล่ายังไม่ปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ เหตุใดจักรพรรดินีจึงตัดสินใจเคลื่อนไหวล่วงหน้าเสียเล่า!

หลังจากนั้น พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าทันทีที่จักรพรรดินีอวี้เชอโจมตี ฉับพลัน ลำแสงสีเขียวพราวก็พุ่งพรายออกมาจากส่วนลึกของกลุ่มดาวถาวอู้ มันส่องสว่างไปทั่วทั้งจักรวาล

หลังจากนั้น กระบี่ซึ่งเปื้อนมลทินและหยาบกระด้างอีกเล่มก็ส่งเสียงกึกก้อง สร้างแรงสั่นสะเทือนไปถ้วนทั่ว

เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งใหญ่อลังการเกินไป คนเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะแสดงความตกใจ พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าในค่ำคืนนี้จะได้เผชิญหน้ากับภาพที่เหนือกว่าจินตนาการจะวาดฝันได้

[1] ค้ำฟ้าหยั่งดิน หมายถึง สิ่งที่สูงตระหง่านตั้งแต่ฟ้าจรดดิน

…………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]