บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1635

สรุปบท บทที่ 1635 ทายาทของจักรพรรดิโกวเฉิน: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอน บทที่ 1635 ทายาทของจักรพรรดิโกวเฉิน จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1635 ทายาทของจักรพรรดิโกวเฉิน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่เขียนโดย novelones เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 1635 ทายาทของจักรพรรดิโกวเฉิน

…………….

บทที่ 1635 ทายาทของจักรพรรดิโกวเฉิน

แม้ว่าบรรยากาศจะหนาวเย็น แต่เฉินซีก็ปีติยินดีและพึงพอใจมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะชั้นสูงของแดนเทพโบราณ มันมีส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมมากมาย และส่วนผสมทุกชิ้นก็เป็นส่วนผสมศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่า แม้แต่สุราก็ยังหาได้ยากในโลกภายนอก

ในสามภพแห่งนี้ งานฉลองดังกล่าวก็เหมือนกับงานฉลองอันศักดิ์สิทธิ์ของเทาเที่ย และแทบจะหาไม่ได้อีกแล้ว

แต่เมื่อเฉินซีลิ้มรสอาหารอันโอชะเหล่านี้ เขารู้สึกว่ามันแค่พอใช้ได้ ซ้ำยังมั่นใจว่ามันจะดีกว่าอย่างแน่นอนถ้าเขาเป็นผู้ลงมือทำอาหาร

เพราะเขาเป็นถึงปรมาจารย์พ่อครัววิญญาณ

ดาราจักรจันทราเพลิงเป็นศูนย์กลางของเอกภพมสิหิม ดังนั้นผลผลิตและการค้าของที่นี่จะต้องเฟื่องฟูอย่างมากเป็นแน่แท้ ทว่าน่าเสียดายที่มีศัตรูแข็งแกร่งคอยจ้องมองข้าด้วยความเกลียดชังอยู่รอบตัว เพราะเหตุนี้ข้าคงไม่โอกาสได้ท่องเที่ยวไปรอบดาราจักรนี้…

จู่ ๆ เฉินซีก็ทอดถอนใจอย่างลับ ๆ เขาตั้งใจที่จะมองหาวัตถุดิบเทวะบางอย่างเพื่อหลอมยันต์ศัสตราอีกครั้ง เพื่อที่จะปรับปรุงพลังและคุณภาพของมัน แต่ว่าตอนนี้คงไม่อาจทำได้ในเอกภพมสิหิม

สมบัติวิญญาณประดิษฐ์แบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง และทุกขั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสามระดับเพิ่มเติม

ตัวอย่างเช่น สมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับหนึ่งถึงสาม โดยทั่วไปรู้จักกันว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นต่ำ และพวกมันสามารถนำไปใช้โดยเทวารู้แจ้งโลกาได้

สมบัติวิญญาณประดิษฐ์ตั้งแต่ระดับสี่ถึงระดับหก เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง และเป็นสมบัติที่เตรียมไว้สำหรับเทวารู้แจ้งวิญญาณ

ดังนั้นสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ตั้งแต่ระดับเจ็ดถึงระดับเก้าจึงเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง และเป็นสมบัติที่เตรียมไว้สำหรับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล

สำหรับยันต์ศัสตรา มันไม่ใช่สมบัติวิญญาณธรรมชาติ และในปัจจุบัน อาจจะแข็งแกร่งกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นต่ำเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ยังด้อยกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางระดับสี่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เฉินซีได้เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว และเกือบจะบรรลุความสมบูรณ์ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่พลังของยันต์ศัสตรายังคงอยู่ที่มาตรฐานของขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา ดังนั้นมันจึงห่างชั้นเกินที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเฉินซีในการต่อสู้

ดังนั้นหากเขาไม่ได้รับกระบี่เล่มใหม่ การปรับปรุงพลังของยันต์ศัสตราก็เป็นเรื่องสำคัญ

น่าเสียดาย เนื่องจากสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ เฉินซีจึงไม่มีโอกาสรั้งอยู่ในเอกภพมสิหิม ดังนั้นจึงทำได้แค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น

นับว่าโชคดี นอกจากยันต์ศัสตราแล้ว เขายังมีสมบัติล้ำค่าอื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่ถึงขนาดทำให้ไม่สามารถรับมือกับการต่อสู้ที่ต้องเผชิญในอนาคตได้

แล้วไปเถิด ข้าได้รับแก่นสัตว์อสูรจำนวนมากในระหว่างการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้ และมันสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองจำนวนมหาศาลได้ ในเวลานั้น อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองเมื่อซื้อวัตถุเทวะที่ข้าต้องการ เฉินซีครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ และวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไป

เวลาผันผ่าน จู่ ๆ เสียงร้องที่ไพเราะ ก็ดังประสานกันมาจากด้านนอกตำหนักเมฆาวารี

พร้อมกับเสียงร้องนี้ กลิ่นหอมที่สร้างความปีติให้กับหัวใจก็ปรากฏขึ้น กลิ่นหอมทำให้จิตใจสงบลง เหมือนกับกลิ่นหอมของเต๋า ซึ่งสุดแสนวิเศษจนยากจะอธิบายได้

เหตุการณ์นี้ทำให้บรรยากาศที่คึกคักในห้องโถงเงียบลงทันที และหลายคนก็หยุดสิ่งที่กำลังทำ พร้อมกับมองออกไปนอกห้องโถงอย่างพร้อมเพรียง

แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่สีหน้าของพวกเขากลับประหลาดใจและสับสน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น

มีเพียงจักรพรรดินีอวี้เชอซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์เท่านั้นที่หรี่ตาลง ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยาก และใคร ๆ ก็สังเกตเห็นเส้นแสงสีเขียวจาง ๆ ที่ดูเหมือนสายฟ้าเย็นเฉียบเกิดขึ้นจากส่วนลึกของนัยน์ตาของนาง!

“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่า….” ทันใดนั้น ดวงตาของอวิ๋นชิงทอประกายเจิดจ้า คล้ายคาดเดาอะไรบางอย่างได้ ทำให้ใบหน้าที่เหี่ยวยนและไม่แยแสเต็มไปด้วยความตกใจ

“เตรียมตัวต้อนรับอาคันตุกะของเรา” จักรพรรดินีอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

กลิ่นหอมไม่ชัดเจน และเสียงร้องที่ฟังดูเหมือนเสียงของธรรมชาติ ทำให้ห้องโถง ฟ้าดิน และทุกสิ่งดูเงียบสงบในเวลานี้

ทุกคนในห้องโถงหยุดพูดคุยทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดและความสับสน แม้ความปั่นป่วนครั้งนี้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็ถือว่าน่าตกใจอยู่ดี

ผู้ใดกำลังมา?

ท่ามกลางการจ้องมองของทุกคน รถม้าสมบัติก็แล่นผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด และมาถึงด้านนอกห้องโถงอย่างรวดเร็ว

มันเหมือนกับดวงแสงที่ลุกเป็นไฟส่องผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ทั้งยังพร่างพราวและรุ่งโรจน์

มันเป็นรถม้าสมบัติที่อยู่ใต้ฉัตร ปิดด้วยแผ่นทองคำ ดูโอ่อ่าและสง่างาม มันถูกปกป้องโดยเมฆศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกก้อนจากทั่วใต้หล้า และแผ่กลิ่นหอมที่คล้ายกับกลิ่นหอมของเต๋า มีกิเลนไฟที่ดูศักดิ์สิทธิ์ ทรงพลัง และใหญ่โตจำนวนสี่ตัวลากรถม้าอยู่ที่ด้านหน้า ซึ่งพวกมันทั้งหมดก็ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พลุ่งพล่าน ทั้งยังแผ่กลิ่นอายกดขี่และสง่างามออกมา

มันคือรถม้าเสาวคนธ์เมฆา!

รูม่านตาของหลาย ๆ คนหดตัวลง ในขณะที่ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เพราะพวกเขารู้ถึงต้นกำเนิดของรถม้าสมบัตินี้

เพราะในแดนเทพโบราณแห่งนี้ รถม้าสมบัติคันนี้มีเพียงคันเดียว และมันเป็นของจักรพรรดิโกวเฉิน ซึ่งเป็นจ้าวแห่งเอกภพขั้วทักษิณา ภายในหนึ่งวัน มันสามารถเดินทางข้ามผ่านสิบเอกภพและดาราจักรนับพันได้!

หรือจักรพรรดิโกวเฉินจะเสด็จมา?

ทุกคนต่างตกใจและเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เนื่องจากเอกภพขั้วทักษิณาอยู่ใกล้กับเอกภพจักรวรรดิ มีพื้นที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต และเหนือกว่าเอกภพมสิหิมด้วยซ้ำ

โดยเฉพาะจักรพรรดิโกวเฉิน เขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเจิ้นอู่แห่งเอกภพภาสอุดร และจักรพรรดิจื่อเว่ยแห่งเอกภพเฮยเย่า เขาเป็นบุคคลที่สะท้านปฐพี เป็นตำนานในหมู่จ้าวแห่งเอกภพที่อยู่มากมายในแดนเทพโบราณ

เฉินซีไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่มีท่าทางแปลกใจ และถึงขนาดไม่มีเวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ทั้งยังไตร่ตรองอย่างมีสมาธิว่าควรจะหาวัตถุดิบล้ำค่ากี่อย่างเพื่อให้พลังของยันต์ศัสตราได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์

ในเวลาไม่นาน ทุกคนในห้องโถงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อรถม้าเสาวคนธ์เมฆามาถึงด้านนอกห้องโถง ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเงินก้าวลงจากรถม้าสมบัติพร้อมกับชายชราคนหนึ่ง

เสียงของเขาสั่นสะท้านไปทั่วห้องโถง และดังก้องเหมือนฟ้าคำราม ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างขมวดคิ้ว คนผู้นี้ช่างหยิ่งยโสจริง ๆ แม้จะเป็นทายาทของจักรพรรดิโกวเฉิน แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงผู้เยาว์เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดินีอวี้เชอ

“ข้าสงสัยว่าองค์ชายสวินมีธุระสำคัญอันใดในเอกภพมสิหิมของข้า” จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวอย่างไม่แยแส

“ไม่อาจถือว่าเป็นธุระสำคัญอันใด และข้าบังเอิญเดินทางผ่านมาที่นี่ และได้ยินว่าการชุมนุมล่าดาราสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจระงับความรู้ความรู้อยากเห็นในใจได้ จึงมาที่นี่เพื่อพบปะกับเหล่าสหายเต๋า”

สวินหยางผิงยิ้มอย่างสบายใจ “ฝ่าบาทคงไม่ตำหนิข้าที่มาโดยไม่บอกกล่าวกระมัง?”

ที่แท้เขาก็แค่ผ่านมาเท่านั้น…

คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “ทายาทของจักรพรรดิโกวเฉินผู้นี้ช่างเหิมเกริมจริง ๆ เขาสร้างความปั่นป่วนทันทีที่เข้ามาตำหนักเมฆาวารี และในโลกนี้อาจมีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้”

“ข้ายินดีต้อนรับอาคันตุกะที่มาจากแดนไกลแน่นอน”

ทันใดนั้น จักรพรรดินีอวี้เชอลุกขึ้นยืนและกวาดสายตาไปทั่วทั้งห้องโถง “ทุกคน ให้ข้าแนะนำให้กับพวกเจ้าเถอะ นี่คือองค์ชายสิบสามของจักรพรรดิโกวเฉินแห่งเอกภพขั้วทักษิณา เขาได้บ่มเพาะมาราวหกร้อยปี ปัจจุบันการบ่มเพาะบรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว นับว่าเป็นอัจฉริยะที่หายากและโดดเด่นมาก”

“ฝ่าบาททรงกรุณาเกินไปแล้ว ข้าน้อยเพียงหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะอย่างลึกซึ้ง และออกท่องไปตามเอกภพต่าง ๆ เพื่อหาโอกาสประลองฝีมือกับเหล่าสหายเต๋า”

สวินหยางผิง หยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ครั้งนี้ ข้าได้ยินมาว่า เหล่าอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในเอกภพมสิหิมได้มารวมตัวกันที่ห้องโถงนี้ ดังนั้นข้าสงสัยว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้ข้าได้ขอคำชี้แนะจากพวกเขาได้หรือไม่?”

ทันทีที่กล่าวจบ แผ่นหลังก็ยืดตรง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยสัญลักษณ์สีทองอ่อน ท่าทางดูเย่อหยิ่งและจองหอง ในขณะที่สายตากวาดมองทุกคนราวกับสายฟ้าแลบ

คนผู้นี้มาด้วยเจตนาร้ายจริง ๆ!

หัวใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เพราะแท้จริงแล้ว สวินหยางผิงมาที่นี่เพื่อท้าทายบรรดาศิษย์ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณชั้นยอดเหล่านี้

ทันใดนั้น บรรยากาศก็เงียบงันและกดดันถึงขีดสุด

คนผู้นี้ว่างเกินจนชอบหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ

เฉินซีขมวดคิ้วขณะพึมพำในใจ เพราะเสียงตะโกนของสวินหยางผิงทำให้เขาไม่สามารถมีสมาธิกับการไตร่ตรองได้

“น่าเสียดายที่การชุมนุมล่าดาราได้สิ้นสุดลงแล้ว…” จักรพรรดินีอวี้เชอดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็กล่าวอย่างสงบหลังจากนั้น

ทว่านางถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราะของสวินหยางผิง “นี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดที่จะมีการประลองฝีมือหรอกหรือ? งานเลี้ยงที่ปราศจากการต่อสู้ ไม่คิดว่าไร้ชีวิตชีวาจนจืดชืดเกินไปหรือ?”

ในขณะนี้ จักรพรรดินีอวี้เชอเผยท่าทางขมวดคิ้วที่หาได้ยาก ความเย็นชาเสี้ยวเล็ก ๆ แล่นเข้ามาในดวงตาสุกใส ดูเหมือนนางโกรธเคืองกับกิริยาท่าทางที่หยาบคายของสวินหยางผิงอย่างยิ่ง!

…………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]