บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1657

สรุปบท บทที่ 1657 เล่ออู๋เหิน: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอน บทที่ 1657 เล่ออู๋เหิน จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1657 เล่ออู๋เหิน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่เขียนโดย novelones เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 1657 เล่ออู๋เหิน

………………..

บทที่ 1657 เล่ออู๋เหิน

เมื่อสังเกตเห็นว่ารอบข้างเงียบกริบไร้สำเนียง ขณะที่บรรยากาศดูกดดัน เฉินซีก็ไม่คิดรังแกเฉาเจินต่อ ชายหนุ่มประสานกำปั้นคารวะเฉาเจินอย่างนิ่งเรียบ “ขอบคุณที่ออมมือ”

เพียงไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ความรู้สึกซับซ้อนเอ่อขึ้นในหัวใจผู้อื่นทั้งหมด

เดิมทีพวกเขาตั้งใจสั่งสอนให้เจ้าคนจากเอกภพมสิหิมสำเหนียกตนเอง แต่ไม่คาดเลยว่าสถานการณ์จะแปรเปลี่ยนเหมือนถูกตบหน้ากันแรง ๆ

ทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง

แต่พวกเขาก็ยังต้องยอมรับอย่างไร้ทางเลือกว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีร้ายกาจอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุด คนส่วนใหญ่ที่นี่ก็ไม่กล้าตั้งคำถามกับความแข็งแกร่งของเขาอีก

หลังจากอวี๋ชิวจิงประจักษ์แก่ทุกสิ่งตรงหน้า เห็นสีหน้าดำคล้ำของทุกคนและสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของเฉินซี ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

แม้จะยอมรับแล้วว่าเฉินซีชนะ แต่ก็รับไม่ได้ที่ขวัญกำลังใจของพวกเขาถูกเฉินซีเชือดเฉือน

เพราะมันจะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจแก่เฉินซี ขณะที่ลดความกล้าของพวกเขาเสียแทน ส่งผลเสียต่อปฏิบัติการที่พวกเขากำลังจะทำ

ทุกสายตาเรืองประกายขึ้นทันที

เมื่อจวนอวี๋สุ่ยผู้นิ่งเงียบมาจนบัดนี้เห็นเข้า ก็ขยับปากเหมือนตั้งใจจะพูดบางอย่าง แต่กลับลังเลจนไม่พูดในที่สุด

คิ้วงามของเชินถูเยียนหรานที่เลิกขึ้น เอ่ยว่า “สหายเต๋าอวี๋ชิว ขณะนี้เฉินซีพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ค่อยสมควรนะ”

อวี๋ชิวจิงยิ้มบาง “เยียนหราน เจ้าไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ข้าแค่คันไม้คันมือขึ้นมาเมื่อพบผู้ที่ข้าประมือด้วยได้เท่านั้น ไม่มีเจตนาข่มเหงใด ๆ เพราะถึงอย่างไร กระทั่งเจ้ายังรู้เลยนี่ว่าหลังบรรลุการบ่มเพาะอย่างเรา การหาคู่ต่อสู้นั้นยากเย็นอย่างแท้จริง”

เขาเว้นช่วงเล็กน้อย แล้วเบนสายตาไปกล่าวกับเฉินซีกะทันหัน “สหายเต๋าเฉินซี เจ้าคิดเช่นไร?”

เฉินซีตอบด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน”

ทว่าในใจกลับรู้สึกรำคาญเล็กน้อย แค่ร่วมมือกัน แต่กลับหาเรื่องข้าซ้ำ ๆ เพราะข้ามาจากเอกภพมสิหิมและไร้ชื่อเสียงเด่นดัง

พอยามนี้ข้าพิสูจน์ความแข็งแกร่งแล้ว อวี๋ชิวจิงนี่ก็ไม่ยอมจบเรื่อง ยืนกรานจะข่มขวัญกำลังใจข้า ข้าไม่เข้าใจเจ้าพวกนี้เอาเสียเลย

ทว่าเชินถูเยียนหรานคัดค้าน ใบหน้าจิ้มลิ้มเจือเค้าเย็นชา ความอบอุ่นในดวงตาเฉิดฉายหายวับ ขณะที่บรรยากาศรอบตัวพลันปรากฏความยิ่งใหญ่ชวนเกรงขามอย่างไม่อาจพรรณนา

ทุกคนต่างหัวใจสะท้าน เพราะต่างทราบแล้วว่าเชินถูเยียนหรานมีโทสะ

อวี๋ชิวจิงหรี่ตาลง ก่อนจะหัวเราะจืดเจื่อนพลางไหวไหล่ “เยียนหราน แค่ประมือเองน่า หากเจ้าไม่ชอบใจก็ช่างมันเถอะ อย่าโกรธเลย”

ขณะเดียวกัน เขาก็หันไปพูดกับเฉินซี “แต่ข้าล่ะอิจฉาสหายเต๋าเฉินซีจริง ๆ ที่ทำให้เยียนหรานชื่นชอบดูแลได้เช่นนี้ แม้แต่ข้าก็อิจฉานิด ๆ นะ”

สีหน้าของเชินถูเยียนหรานผ่อนลงเมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนท่าทีของอวี๋ชิวจิง “เรากล่าวได้ว่าโชคดีที่ได้ร่วมมือกัน ย่อมต้องดูแลช่วยเหลือกัน ไม่มีเรื่องอย่างลำเอียงเข้าข้างใคร”

เฉินซีเองก็ยิ้ม ไร้คำพูดใด ๆ

เขาตระหนักชัดเจนว่าแม้สถานการณ์จะผ่อนลงในชั่วขณะนี้ แต่การกระทบกระทั่งระหว่างเรายังไม่ถูกสะสาง เว้นแต่เขาจะลงมือให้อวี๋ชิวจิงรู้ซึ้งในความแข็งแกร่งอย่างถึงทรวง

มิเช่นนั้น อวี๋ชิวจิงคงไม่มีทางยอมรับความแข็งแกร่งของเฉินซีเป็นแน่

“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าไม่เคยคาดคิดว่าหนนี้ข้าจะสายที่สุด น้องหญิงเยียนหรานคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่?”

ทันใดนั้น หนึ่งเสียงอันเปี่ยมความมาดมั่นก็กึกก้องมาจากไกล ๆ สะท้านหมู่เมฆจนสลายแหลก

พร้อมกันนั้น หนึ่งร่างก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ณ ยอดเขา

คนผู้นี้สวมอาภรณ์ผ้าธรรมดา มีการวางตัวงามสง่า สีหน้าลอยชายไร้กังวล ดวงตาเฉียบคมเจิดจรัส สะพายหอกสั้นสำริดสองเล่มไว้บนหลัง รอยยิ้มเฉิดฉายบนใบหน้า ดูบ้าบิ่น กล้าแกร่ง ดุดัน และมีเสน่ห์เฉพาะตัว

ทุกคนต่างใจชื้น เข้าไปทักทายผู้มาใหม่ตาม ๆ กัน

“พี่อู๋เหิน”

“พี่ใหญ่อู๋เหินมาแล้ว”

เมื่อเห็นผู้มาใหม่ กระทั่งมุมปากของเชินถูเยียนหรานยังยกยิ้มบาง ดวงตาเรืองรองเจิดจรัส “เจ้านี่นะ ยังเกียจคร้านเช่นเคย”

เขาแน่ใจว่าตำหนักเต๋าหนี่หวาที่เล่ออู๋เหินกล่าวถึงคือตำหนักเต๋าหนี่หวาที่ตนคุ้นเคย แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนในตำหนักเต๋าหนี่หวาพูดชื่อของเขา เป็นชิงซิ่วอี้หรือไม่?

ขณะเดียวกัน เฉินซีก็ยืนยันได้ว่า ‘เฉินซี’ ที่เล่ออู๋เหินกล่าวถึงคือตนแน่นอน เพราะไม่มีเฉินซีคนอื่นแล้วในตำหนักเต๋าหนี่หวา

ดูเหมือนว่าตำหนักเต๋าหนี่หวาจะอยู่ในเอกภพจักรวรรดิ ณ แดนเทพโบราณจริง ๆ… แม้ความคิดสารพันจะไหลพล่านในใจ แต่สีหน้าเฉินซีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ทันทีที่เล่ออู๋เหินมาถึง คณะของพวกเขาก็รวมตัวเสร็จสิ้น

หากพินิจให้ดี จะสังเกตได้ว่ากลุ่มนี้มีมหาเทวาวิญญาณห้าคน และมีถึงสามคนที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ซึ่งก็คือเล่ออู๋เหินอันดับสิบเอ็ด เชินถูเยียนหรานอันดับสิบสาม และอวี๋ชิวจิงอันดับสิบหก

ขณะเดียวกัน จวนอวี๋สุ่ยอยู่ในอันดับยี่สิบสาม เป็นตัวตนซึ่งบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร เพียงเรื่องนี้ลำพังก็ทำให้เป็นผู้ที่ไม่อาจประเมินต่ำได้แล้ว

มหาเทวาวิญญาณคนสุดท้ายคือเฉินซี แม้เขาจะไม่มีอันดับบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ยามเอาชนะเฉาเจินก็ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งแล้ว

นอกจากพวกเขาทั้งห้า ผู้บ่มเพาะอีกสิบกว่าคนในกลุ่มล้วนแต่เป็นตัวตนสูงสุดจากเอกภพจักรวรรดิเช่นกัน กลุ่มเช่นนี้จึงถือได้ว่ายิ่งใหญ่ในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่

จากการประมาณการของเชินถูเยียนหราน มีเพียงคนอย่างลั่วฉ่าวหนง เจียหนาน และกงเหย่เจ๋อฟูเท่านั้นที่ควรค่าให้พวกเขารับมือด้วยอย่างระมัดระวัง ส่วนผู้อื่นนั้น ไม่ต้องใส่ใจนักก็ได้

“ในแดนรากบรรพกาลมีรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเพียงหนึ่ง กล่าวคือโอกาสยิ่งใหญ่เช่นนี้มีเพียงผู้เดียวที่รับไปได้ ข้าหารือกับสหายเต๋าท่านอื่น ๆ จนตกลงกันได้แล้ว” อวี๋ชิวจิงกล่าวอย่างสุขุมมั่นใจ จากคำพูดของเขา หลังเข้าสู่แดนรากบรรพกาล พวกเขาจะต้องใช้เวลาหารากเต๋าบรรพชนให้แก่ผู้บ่มเพาะแต่ละคนในคณะ

แน่นอน ลำดับของเรื่องนี้เปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ เช่นจะสู้ชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิก่อน จึงค่อยหารากเต๋าบรรพชนอื่น ๆ ให้คนที่เหลือก็ได้

มันสมเหตุสมผลอย่างมาก รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าไม่ใช่รากเต๋าบรรพชนหนึ่งเดียวในแดนรากบรรพกาล ยังมีรากเต๋าบรรพชนอื่น ๆ อีกมากมาย แค่คุณภาพของมันเทียบกับรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าไม่ได้เท่านั้น

ขณะเดียวกัน ผู้บ่มเพาะซึ่งไม่ใช่มหาเทวาวิญญาณไม่มีทางสู้แย่งรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าได้เลย ดังนั้นการพอใจในสิ่งที่ดีรองลงมา เลือกรากเต๋าบรรพชนอื่น ๆ จึงนับว่าอยู่กับความเป็นจริง

นี่คือสัจธรรม หากเฉินซีและมหาเทวาวิญญาณคนอื่น ๆ ไม่สามารถชิงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้านั้นมาในตอนท้าย พวกเขาก็ทำได้เพียงเลือกรากเต๋าบรรพชนอื่นซึ่งมีคุณภาพด้อยลงมานิดหน่อย เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจพัฒนาสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้อย่างราบรื่น

หลังอวี๋ชิวจิงพูดจบ สายตาของเขาก็เบนมาทางเฉินซี “สหายเต๋าเฉินซี เจ้ามาใหม่ ข้าถือวิสาสะว่าเจ้าตระหนักเรื่องทั้งหมดแล้วในยามนี้ เช่นนั้น เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”

เฉินซีพยักหน้า “แน่นอน”

“ดี ในเมื่อทุกคนตกลงกันแล้ว ก็ให้เป็นไปตามนี้ แต่ข้าขอพูดตรง ๆ ไว้ก่อนว่าเราจะต้องเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันยามเข้าสู่แดนรากบรรพกาล ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของคณะในทุกแง่มุม หากผู้ใดฝืนกฎ ผู้นั้นคือศัตรูร่วมของเรา!” สีหน้าของอวี๋ชิวจิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวขึ้นเสียงเบา สายตาเหมือนจงใจมองมาทางเฉินซี ประหนึ่งคำเตือนระคนปลุกสติ ชวนให้ครุ่นคิดยิ่งนัก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]