บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1663

สรุปบท บทที่ 1663 วิหารรากบรรพชน: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

สรุปเนื้อหา บทที่ 1663 วิหารรากบรรพชน – บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] โดย novelones

บท บทที่ 1663 วิหารรากบรรพชน ของ บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย novelones อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 1663 วิหารรากบรรพชน

………………..

บทที่ 1663 วิหารรากบรรพชน

ทุกคนหันมองตามสายตาของเล่ออู๋เหินไป แล้วกำลังใจก็พุ่งสูง ตื่นเต้นกันขึ้นมา

นอกน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณไม่ใช่ม่านหมอกสีเทาทึบอีกแล้ว ปราณหมานกู่วิเวกซึ่งปกคลุมน้ำเต้าจางตัวลง ทัศนวิสัยของพวกเขาค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น

ถึงขนาดที่สามารถเห็นวิหารอันเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ!

วูบ!

จู่ ๆ น้ำเต้าสะบั้นวิญญาณก็หยุดเคลื่อนไหว

“โชคดีที่เราไม่ได้มาสาย ประตูวิหารรากบรรพชนยังไม่ถูกเปิด” เล่ออู๋เหินแย้มยิ้ม นำพวกเขาทั้งหมดออกมาจากน้ำเต้าสะบั้นวิญญาณ

ขณะเดียวกัน ทุกคนล้วนสังเกตชัดเจนว่ามีพื้นที่โล่งว่างเปล่าห้อมล้อมพวกตนไว้อย่างไพศาล รอบทิศเต็มไปด้วยปราณหมานกู่วิเวกเทาทึบ มีเพียงหนึ่งวิหารตั้งตระหง่าน ณ ใจกลาง

วิหารนั้นเก่าแก่ยิ่งและปกคลุมด้วยตะไคร่ สภาพค่อนข้างทรุดโทรมย่ำแย่ มันตั้งอยู่ที่นี่มานานจนไม่อาจนับ เหมือนจะประสบกับการผันผ่านของเวลาหลายต่อหลายปี

“นั่นคือทางเข้าวิหารรากบรรพชน ลือกันว่าวิหารรากบรรพชนนี้เกิดจากในความโกลาหลแห่งยุคหม่านกู่ ลึกลับเกินคาดหยั่ง นับแต่บรรพกาลจวบยามนี้ มันดึงดูดยอดฝีมือมากมายมาเยี่ยมเยือน” เล่ออู๋เหินทอดถอนใจ แล้วจึงนำคนที่เหลือออกเดิน “มาเถิด หากข้าเข้าใจไม่ผิด อีกไม่นาน ทวารบาลของวิหารก็น่าจะปรากฏตัวแล้ว….”

ทวารบาลของวิหาร? คิ้วเฉียงของเฉินซีเลิกขึ้น เผยสีหน้าครุ่นคิด

เขาได้ยินมาว่า นับแต่วันที่วิหารรากบรรพชนมีตัวตน ก็มีทวารบาลพิทักษ์วิหารอยู่เสมอ ไร้ผู้ใดทราบที่มา และไม่ทราบเช่นกันว่าทวารบาลนั้นอยู่มานานเพียงไร ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

หากผู้ใดคิดเข้าไปในวิหารรากบรรพชนก็ต้องผ่านบททดสอบของทวารบาล หากไม่ ต่อให้มาถึง ก็มีแต่ต้องกลับไปมือเปล่า

ฟ้าดินไร้ขอบเขต ที่ราบอันเปิดกว้างเงียบสงัด รอบข้างเต็มไปด้วยปราณหมานกู่วิเวกเทาทึบ บรรยากาศดูสุดแสนเงียบสงัดวังเวง

การเหาะเหินในบริเวณนี้ก็เหมือนหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นแห่งยุคหม่านกู่ ทำให้ในใจบังเกิดความรู้สึกเคารพให้เกียรติอย่างควบคุมไม่ได้

ไม่นาน ทุกคนก็มาถึงหน้าวิหารรากบรรพชน

เมื่อมองมาจากระยะใกล้ วิหารแห่งนี้ยิ่งดูสูงส่งเก่าแก่กว่าเก่า มันสร้างขึ้นจากหินปูนธรรมดาทั้งหลัง แต่กลับให้บรรยากาศเก่าแก่หนักอึ้งชวนให้ใจเต้นกระตุก

ที่หน้าวิหารมีประตูสองบานซึ่งโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง

ประตูทางซ้ายมือเขียนคำว่า ‘生’ อันหมายถึงชีวิต อักขระนี้แดงก่ำเหมือนจุ่มลงในบ่อโลหิต เผยบรรยากาศลี้ลับน่าสะพรึงกลัว

หนึ่งคือชีวิต หนึ่งคือความตาย สองอักขระโบราณสลักไว้บนประตูสองบาน ประกอบกับบรรยากาศเก่าแก่ของวิหาร จึงกระทบจิตใจผู้พบเห็นอย่างไม่อาจขยายความ

เหมือนประตูทั้งสองนี้นำสู่สองโลกอันแตกต่าง ชีวิตนิรันดร์หรือมรณะตัดสินได้เพียงหนึ่งคำนึง

สิ่งที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหนือสิ่งใดคือ ตรงกลางระหว่างประตูทั้งสองมีแท่นบูชาโบราณแท่นหนึ่งตั้งอยู่ พื้นผิวของมันด่างดำ เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา แต่ก็ดูไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

ทว่าเมื่อแท่นบูชาสุดแสนธรรมดาเช่นนี้มาปรากฏระหว่างประตู ‘เป็น’ และ ‘ตาย’ หน้าวิหาร มันกลับดูสุดแสนผิดปกติ

ขณะนี้ บุคคลมากมายมารวมตัวกันหน้าวิหารรากบรรพชนแล้ว พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ กระจายกันไป ต่างฝ่ายไม่รบกวนกัน ทว่าพวกเขายืนเผชิญหน้ากันจากไกล ๆ ดังนั้นแม้บรรยากาศจะสงบเงียบ แต่กลับเผยบรรยากาศตึงเครียดประชันแข่ง

เมื่อกลุ่มของเฉินซีมาถึงภายใต้การนำของเล่ออู๋เหิน เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นทันที

“เล่ออู๋เหินจากเอกภพจักรวรรดิ!”

“ดูนั่นเร็ว เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิงกับจวนอวี๋สุ่ยก็อยู่ด้วย!”

“เหมือนพวกเขาจะจับกลุ่มกันนะ….”

“ทุกท่านระวังด้วย เราต้องไม่ไปล่วงเกินกลุ่มของเล่ออู๋เหินเด็ดขาด พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป ห่างไกลเกินเราจะรับมือไหว”

ผู้คนหารือกันจอแจ สายตาส่วนใหญ่ที่มองมายังกลุ่มของเฉินซีเจือความกลัวและยำเกรง

แน่นอน ส่วนใหญ่แล้วสายตาของพวกเขาอ้อยอิ่งอยู่ที่เล่ออู๋เหิน เชินถูเยียนหราน อวี๋ชิวจิง และจวนอวี๋สุ่ย ส่วนเฉินซีนั้น แทบไม่มีใครสนใจเขาเลย

จะให้ทำเช่นไรได้ เขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่กระทั่งผู้ติดอันดับในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ จึงไม่มีทางเลยที่คนเหล่านี้จะทราบตัวตนของเขา

เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ในกลุ่มของเฉินซีสังเกตเห็น พวกเขาทุกคนต่างมองมาตาม ๆ กัน ก่อนจะยืดอกแสดงท่าทีภาคภูมิ เหมือนจะภาคภูมิผยองศักดากันอย่างยิ่ง

พวกเขาก็มีความสามารถพอให้ผยองจริง ๆ เพราะในหมู่กลุ่มพันธมิตรที่รายล้อม น้อยนักจะเทียบอำนาจกับกลุ่มของพวกเขาได้

ทันใดนั้น ฝูงชนก็แหวกทางให้กลุ่มของเฉินซี เล่ออู๋เหินเหมือนจะชินกับเรื่องนี้ และนำพวกเขาเดินมาถึงหน้าวิหารทันที

เฉินซีลอบถอนใจแล้วละสายตา

เจิ้นหลิวชิง…. เจินหลิวฉิง*[1] นางในยามนี้ไร้ใจไปแล้ว…. ช่างเถิด หากนางตัดสินใจลืมข้าแล้วจริง ๆ เช่นนั้นก็ปล่อยนางตามปรารถนาเถิด เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ แล้วส่ายหัว ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจ

เขาไม่กล้าคิดถึงมันต่อไป เพราะกังวลว่าจะไม่อาจควบคุมอารมณ์แล้วพุ่งเข้าไปถามเจิ้นหลิวชิงอีกครั้ง ว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนี้

ทันใดนั้น เสียงแผ่วเบานุ่มนวลอันฟังดูเกียจคร้านก็ดังขึ้น “คุณหนูเยียนหราน ข้าไม่คาดเลยว่าเจ้าจะมาที่นี่เช่นกัน เป็นความประหลาดใจอันน่ายินดีสำหรับข้านิดหน่อยโดยแท้”

บรรยากาศเงียบสงัดลงทันที

สายตาทุกคู่หันตามกันไปหยุดที่บุคคลซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า คนผู้นี้ดูเฉื่อยชา เรือนผมดกดำเคลียบ่า รูปลักษณ์หล่อเหลาอย่างยิ่ง เผยบรรยากาศชั่วร้ายทว่ามีเสน่ห์

โดยเฉพาะที่บ่าของเขามีสัตว์เทวะวิหคเพลิงสีแดงสดเกาะอยู่ มันงดงามเจิดจรัสและเย่อหยิ่งเกินใดเปรียบ

คนผู้นี้ก็คือลั่วฉ่าวหนง อันดับสามบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ตัวตนไร้เทียมทานในหมู่ชนรุ่นเยาว์จากตระกูลลั่วในเอกภพจักรวรรดิ ชื่อเสียงโด่งดังทั่วเอกภพจักรวรรดิ

เพราะอิทธิพลเช่นนั้น ยามลั่วฉ่าวหนงเอ่ยปาก จึงดึงความสนใจจากทั่วทิศได้ทันที

โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสังเกตพบว่าลั่วฉ่าวหนงกำลังพูดกับเชินถูเยียนหราน มันกระทั่งทำให้ใครหลายคนตกตะลึง

เชินถูเยียนหรานเป็นหญิงงามผู้เลิศล้ำแห่งเอกภพจักรวรรดิ ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายถือนางเป็นสตรีที่หมายปอง

“หญิงผู้น้อยเช่นข้ามีความสามารถอะไร จึงทำให้พี่ฉ่าวหนงจำข้าได้เช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นเกียรติที่ทำให้ข้ารับไม่ไหว” เห็นได้ชัดว่าเชินถูเยียนหรานประหลาดใจเล็กน้อย นางชะงักไปครู่หนึ่ง จึงพูดด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสรื่นหูเช่นสายนที

ประกอบกับความงามไร้ผู้ใดเปรียบ จึงทำให้ดวงตาทุกคู่เรืองประกาย ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนกระทั่งมีความชื่นชมในสายตาอย่างไม่อาจอำพราง

“ฮ่า ๆ! เยียนหราน เจ้ารู้นิสัยข้า เหตุใดต้องเกรงใจ?” รอยยิ้มเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ของลั่วฉ่าวหนง เขากล่าวพลางจ้องมองเชินถูเยียนหรานด้วยสายตารุ่มร้อน “เยียนหราน หากเจ้ามาร่วมมือกับข้า ข้ารับปากได้ว่าจะหารากเต๋าบรรพชนปฐมกาลให้เจ้าได้อย่างราบรื่น ส่วนรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิ ขอเพียงเจ้ารับปากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้า ข้าจะชิงมันมาให้เจ้าแน่นอน!”

ทุกคนพลันระเบิดเสียงอื้ออึง ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าลั่วฉ่าวหนงจะส่งคำเชิญเช่นนี้ให้เชินถูเยียนหรานอย่างโจ่งแจ้ง

ไม่สิ นี่ไม่ใช่คำเชิญแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่ามันไม่ต่างจากคำสารภาพรักเลย!

[1] เป็นการเล่นคำระหว่างชื่อเจิ้นหลิวชิง (甄流晴) กับเจินหลิวฉิง (真留情) ซึ่งแปลประมาณว่า ‘ปล่อยวางความรู้สึกแล้วโดยแท้จริง’

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]