เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1757

บทที่ 1757 เตาหลอมแห่งชะตากรรม

………………..

บทที่ 1757 เตาหลอมแห่งชะตากรรม

ภายในห้องรับรองพิเศษลำดับสามหมายเลขสิบเก้า อีแร้งเนตรมาร ตัวสั่นสะท้าน เสียงกุกกักดังขึ้นภายในดวงตาข้างซ้ายที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ

หลังจากนั้น เลือดสีเขียวสายหนึ่งก็ไหลออกมาจากภายในดวงตาและอาบใบหน้าซีดเซียวของเขา มันเป็นภาพที่ทั้งแปลกและชวนสยดสยอง

“พี่ใหญ่!” นักพรตเต๋าหรานเสวี่ย ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น

“สมบัติแห่งยุค มันคือสมบัติแห่งยุคจริง ๆ… นับเป็นสัญญาณถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่…” อีแร้งเนตรมารคล้ายจะไม่ได้ยินเสียงเรียกขานของนักพรตเต๋าหรานเสวี่ย เอาแต่พึมพำอยู่เช่นนั้น

ภัยพิบัติครั้งใหญ่? นักพรตเต๋าหรานเสวี่ยอดตกใจขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นอีแร้งเนตรมารผู้มีจิตใจแข็งแกร่งมั่นคงมีท่าทางคล้ายคนสูญเสียจิตวิญญาณเช่นนี้

“ไปกันเถอะ!” ผ่านไปครู่หนึ่ง อีแร้งเนตรมารก็เช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ก่อนจะหันหลังจากไป

“จะไม่รอให้การประมูลสิ้นสุดลงก่อนหรือ?” นักพรตเต๋าหรานเสวี่ยชะงัก

“เจ้านี่… หึ ๆ ถ้ายังไม่อยากตายก็รีบ ๆ ออกมาซะ!”

ณ ภายนอกห้องประมูลสมุทรทักษิณา

สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านหน้าเฉินซีไป มันทำให้เขารู้สึกสงบใจลงในระดับหนึ่ง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้น่าตกใจเกินไป ทั้งที่มันเป็นเพียงแค่เตาหลอมหิน แต่กลับสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ แน่นอนมันรบกวนจิตใจของเขาอย่างยิ่ง แม้แต่เหล่าไป๋ยังรู้สึกกระวนกระวายใจ เป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น้อยเลย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นสมบัติแห่งยุคอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะมีอานุภาพท้าทายสวรรค์ถึงขนาดที่เต๋าแห่งสวรรค์เองก็ไม่ยอมรับพลังต้องห้ามนี้ ทว่าเฉินซีก็ไม่เข้าใจเลยแม้สักนิดว่าเหตุใดเหล่าไป๋ที่รู้เรื่องนี้อยู่นานแล้วถึงได้ดูจะสูญเสียความสงบยิ่งกว่าที่คาด

หรือว่า… เหล่าไป๋จะสังเกตเห็นบางสิ่งในเตาหลอมหินนั่นเช่นกัน?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังเหล่าไป๋ ภาพที่เขาเห็นคือดวงตาที่ว่างเปล่าของเจ้าวิหคเฒ่า ราวกับว่าวิญญาณนั้นได้หลุดลอยไปจากร่างเสียแล้ว เฉินซีไม่รู้เลย เหล่าไป๋กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? มีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่สะท้อนออกมา

“คุณชาย เราจะออกจากตลาดมืดอย่างนั้นหรือ?” เฉียนอันจับสัมผัสจากอาการของเฉินซีได้ จึงลอบถามอีกฝ่ายด้วยเสียงเนิบเบา

“ใช่” เฉินซีตอบอย่างไม่ลังเล

เมื่อเฉียนอันได้ยินเช่นนั้น เขาก็หยิบยันต์อักขระออกมาก่อนจะขยี้มัน ทำให้ประตูปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าในทันที

หลังจากนั้นเฉินซีและเฉียนอันก็เดินผ่านประตูเข้าไปด้วยกัน และหายตัวไปด้วยความรวดเร็ว

ไม่นานหลังจากที่คนทั้งสองจากไป ร่างของอีแร้งเนตรมารและนักพรตเต๋าหรานเสวี่ยก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

“เหตุใดจึงเป็นเขาไปได้?” อีแร้งเนตรมารขมวดคิ้ว ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่นของเขา

ก่อนหน้านี้ เขาได้มอบหมายให้คนเข้าไปตรวจสอบตัวตนของเป้าหมายในห้องรับรองพิเศษลำดับหนึ่งหมายเลขสามสิบหก แต่กระนั้น เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า เป้าหมายนี้จะเป็นชายหนุ่มผู้ที่ตั้งรางวัลเอาไว้ซึ่งเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่เขาจับตามองมานานแล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป้าหมายที่เขาต้องจัดการในคราวนี้ก็คือคนคนเดียวกัน!

“พี่ใหญ่ แบบนี้ก็ดีสิ เจ้าเด็กคนนี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายอยู่ในการครอบครอง แถมยังชนะการประมูลสมบัติที่ท่านอยากได้อีกด้วย หากเราฆ่ามันตอนนี้ เท่ากับเรายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวเชียวนะ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว” สายตาของนักพรตเต๋าหรานเสวี่ยเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

“เด็กคนนั้น… มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจักรพรรดิฉางเล่อและจักรพรรดิเจิ้นอู่” อีแร้งเนตรมารรู้สึกลังเลใจ

“จักรพรรดิทั้งสองจะต้องทำการเสนอราคาให้กับสมบัติแห่งยุคชิ้นนั้นแน่ ตราบใดที่พวกเราฆ่าเด็กคนนั้นก่อนและรีบออกไปจากเอกภพสมุทรทักษิณาให้เร็วที่สุด ก็คงจะไม่มีใครหาเราเจอได้โดยง่าย หากสถานการณ์เลวร้าย ข้าคิดว่าเราก็ค่อยมองหาที่สำหรับซ่อนตัวไปสักระยะหนึ่ง” นักพรตเต๋าหรานเสวี่ยน้ำเสียงเป็นกังวล “พี่ใหญ่ ถ้ามัวแต่ลังเลอยู่เช่นนี้ เราจะสูญเสียโอกาสสำคัญไปนะ”

ท่าทางของอีแร้งเนตรมารเปลี่ยนไป เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันพูด “บอกคนอื่นให้ทำตามแผนเดิมได้เลย!”

นักพรตเต๋าหรานเสวี่ยกล่าวด้วยความยินดี “ท่านทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว!”

ณ เมืองนาวาวิญญาณ

ที่นี่ยังคงคึกคักและเฟื่องฟูเช่นเคย

เฉินซีกล่าวลาเฉียนอัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปตามถนนผ่านประตูเมืองพร้อมกับเหล่าไป๋

ดวงอาทิตย์ที่แผดจ้าลอยเด่นกลางท้องฟ้าสีครามที่แจ่มใส ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนและรถมาที่สัญจรไปมาคับคั่ง เสียงอึกทึกเจื้อยแจ้วดังไปทั่วบริเวณ

หากเปรียบเทียบที่นี่กับตลาดมืดแล้ว บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสงบลงอย่างมาก

เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็สูดหายใจลึก และกลับมาทำตัวเย่อหยิ่งตามเดิม “สหายเต๋าน้อย หลังจากที่ได้รู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าคงจะรู้สึกกังวลอย่างนั้นสินะ? อย่าได้กลัวไปเลย มันเป็นเพียงสัญญาณเท่านั้น สำหรับแดนเทพโบราณที่ประสบเภทภัยมานับไม่ถ้วนตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ง่ายเลยที่จะ… ทำ ลาย มัน”

เดิมทีสายตาที่เฉินซีมองยังวิหคเฒ่านั่นเจือไปด้วยความโกรธเบาบาง ทว่าเมื่อได้ยินคำสามพยางค์สุดท้ายจากปากของอีกฝ่าย ความรู้สึกที่ชวนเสียวสันหลังก็ก่อตัวขึ้นในใจของเฉินซีอย่างไม่มีสาเหตุ

เฉินซีได้แต่ส่ายหน้า ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเหล่าไป๋เท่านั้น ขนาดเหล่าไป๋เองก็ยังไม่ได้ยืนยันอะไรได้ แล้วเช่นนี้เขาจะกังวลโดยไม่จำเป็นไปทำไมกัน?

“เฉินซี ข้าน่ะตั้งใจที่จะปิดด่านฝึกวิชาสักระยะหนึ่ง และศึกษากระดูกต้นกำเนิดของจ้าววิญญาณอาถรรพ์นี้ให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อข้าไม่อาจอยู่คุ้มครองเจ้าได้ เจ้าก็จงรักษาตัวให้ดี” เหล่าไป๋หัวเราะออกมาเบา ๆ หากน้ำเสียงนั้นฟังดูเร่งร้อน “เมื่อข้าผู้เป็นบรรพชนของเจ้าปิดด่านฝึกวิชาแล้ว บางทีก็อาจจะสามารถช่วยให้เจ้าเรียนรู้เคล็ดวิชาขั้นสูงจากยุคก่อนได้ เรื่องอะไรที่ไม่สำคัญเจ้าก็อย่าไปสนใจมากนัก”

“ปิดด่านฝึกวิชา? ข่าน่ะหวังให้ท่านทำเช่นนี้ตั้งนานแล้ว” เฉินซีพูดไม่ออก เจ้านกนี่เดี๋ยวไร้สาระเดี๋ยวจริงจัง ชายหนุ่มคว้าเหล่าไป๋ด้วยท่วงท่าที่ดูไม่อ่อนโยนอย่างยิ่ง ก่อนจะยัดอีกฝ่ายเข้าไปสู่จักรวาลภายในร่างกายของตน

หากไร้เสียงโหวกเหวกของเหล่าไป๋แล้วละก็ โลกใบนี้คงจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง

เฉินซีมุ่งสู่ท้องฟ้าอย่างไม่ลังเล ชายหนุ่มออกจากเมื่อนาวาวิญญาณและเดินทางไปท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

เมฆหมอกดาราหมุนวนในขณะที่ดวงดาวกะพริบแสงริบหรี่พร่ามัว

เฉินซียืนอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว สายตาทอดมองยังดาวผู่ถัวที่อยู่ห่างไกลออกไป ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องประสบมาตลอดทาง

เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าอารามไท่ชูนั้นเตรียมการไปถึงไหนแล้ว?

เฉินซีหยิบไม้ไผ่สีม่วงออกมาชิ้นหนึ่ง มันคือชิ้นส่วนของไผ่ม่วงที่มฤควิญญาณขาวมอบให้เขาหลังจากที่ออกมาจากอารามไท่ชู โดยที่มันจะมารับเฉินซีในทันทีที่เขาทำลายมัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีตั้งใจที่จะหักไม้ไผ่สีม่วงชิ้นนี้ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากท้องฟ้าที่ห่างไกล

“บัดซบ! ที่แท้เจ้าคือนายท่านสี่แห่งกองโจรดาราปักษารัตติกาล มังกรแห่งบาป ฉางเฮิ่น ! เจ้า… นี่เจ้าตั้งใจจะทำอะไร? ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!!!” น้ำเสียงโกรธแค้นนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและโศกศัลย์

การเคลื่อนไหวของเฉินซีชะงักลง สายตาเพ่งมองยังต้นเสียงที่อยู่ไกลออกไป

ทันใดนั้น เฉินซีก็สัมผัสได้ว่ามีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งกำลังไล่ตามสตรีผู้หนึ่งบนดวงดาวที่ห่างไกลออกไป เสียงร้องขอความช่วยเหลือต้องดังมาจากทิศทางอย่างแน่นอน

ผู้หญิงคนนั้นตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ราวกับว่าจะเผชิญกับโชคร้ายได้ทุกขณะ ฝ่าเท้าที่สืบวิ่งพยายามหนีจากชายคนนั้นโดยไม่คิดหยุดพัก หากกระนั้นมันก็ไม่เพียงพอที่จะสลัดอีกฝ่ายให้หลุดพ้นไป

“มังกรแห่งบาป ฉางเฮิ่น?” ม่านตาสีดำของเฉินซีอาบไปด้วยแสงที่ลึกล้ำเยือกเย็น ชายหนุ่มเก็บไม้ไผ่สีม่วงลงไปอย่างช้า ๆ เพียงพริบตา ร่างของเขาก็หยุดลงระหว่างคนทั้งสองแล้ว

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]