บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 180

บทที่ 180 เผชิญกับภยันตรายในพื้นที่ต้องห้าม

บทที่ 180 เผชิญกับภยันตรายในพื้นที่ต้องห้าม

สองเดือนต่อมา

ร่างหนึ่งยืนตรงดั่งหอกบนต้นไม้สูงตระหง่าน สายตาของเขาทอดมองออกไปยังปลายสุดของป่าเขียวชอุ่มที่กว้างใหญ่จนไร้ขอบเขตด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นและอารมณ์อันหนักอึ้ง

ร่างนี้ย่อมเป็นเฉินซีนั่นเอง ในช่วงสองเดือนนี้ เขาได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาแล้วหลายสิบครั้ง และเกือบทุกวันผ่านไปด้วยการต่อสู้และเข่นฆ่าสัตว์อสูร ถึงแม้ว่ามันจะว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่การต่อสู้และเข่นฆ่าอยู่บ่อยครั้งกลับทำให้ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาสามารถใช้พลังของขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างเต็มที่

ในขณะนี้ ผมยาวของเขาสยายลงมาอยู่บนไหล่ รูปร่างของเขากลับไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น ดวงตาที่ลึกและกระจ่างใสของเขาก็ฉายประกายที่ดุร้ายและแหลมคมเป็นครั้งคราว ซึ่งทำให้เขาดูเย็นชาและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง จนผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้

‘ที่นี่คือที่ใดกันแน่? ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกมีมากมายเหลือเกิน แต่ข้ากลับไม่สามารถเหาะเหินไปในอากาศได้?’ เฉินซีกระโจนลงมาจากยอดไม้ พร้อมกับขมวดคิ้วมากขึ้นขณะมองดูทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา

สถานที่นี้ดูเหมือนจะเป็นป่าที่เก่าแก่และกว้างใหญ่ไพศาล และทุกซอกทุกมุมก็เต็มไปด้วยปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกที่อุดมสมบูรณ์จนสุดขีด ปราณวิญญาณนี้มีความหนาแน่นมากจนถึงจุดที่แปรสภาพสายหมอกสีขาวขุ่น และพวกมันล่องลอยไปทั่วทำให้มองเห็นบริเวณโดยรอบได้อย่างราง ๆ ราวกับว่ามันเป็นภาพลวงตา

นอกจากนี้ แม้แต่วัชพืชทั่วไปในบรรดาพืชพรรณในที่แห่งนี้ก็มีปราณวิญญาณที่ล้นเหลือ ใบของมันมีขนาดใหญ่และรากที่หนา อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าวัชพืชที่พบเห็นได้ทั่วไปมากกว่าสิบเท่า ครั้งหนึ่งเฉินซีเคยเห็นกล้วยไม้ที่สุดแสนจะธรรมดา แต่มันกลับเติบโตได้สูงกว่าสิบสองจั้ง และในไม่ช้ามันก็ได้รับสติปัญญา

แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือป่าโบราณนี้เต็มไปด้วยซากศพและกระดูกของสัตว์ป่า และมีแม้กระทั่งโครงกระดูกของสัตว์อสูรที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งในหมู่พวกมัน ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

โดยรวมแล้ว ถือว่าที่แห่งนี้เป็นป่าที่มีปราณวิญญาณมากมายมหาศาลและพืชพรรณเจริญงอกงาม แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่งดงามกลับซ่อนความดุร้าย ความโหดเหี้ยม และเจตนาฆ่าที่ร้ายกาจ!

“นี่ควรเป็นพื้นที่ต้องห้าม หรือบางทีมันอาจถูกสร้างขึ้นโดยผู้บ่มเพาะเมื่อนานมาแล้ว ตราบเท่าที่ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกไม่กระจัดกระจายหายไป ข้อจำกัดในสถานที่นี้จะสามารถหมุนเวียนได้ชั่วนิรันดร์ ข้าเกรงว่าตอนนี้พวกเราถูกกักขังอยู่ในนั้นแล้ว” หลิงไป๋พยักหน้าขณะกล่าว แต่สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายกว่าเฉินซีมาก

“หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ ก็คงจะเดินทางผ่านท้องฟ้าแล้ว” เฉินซีถอนหายใจ

“เมื่อเราติดอยู่ที่นี่แล้ว เราเพียงแต่ต้องทำให้ดีที่สุด ว่าแต่เจ้าไม่ได้สังเกตเลยหรือ ว่าในที่แห่งนี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายจากสวรรค์และโลกเติบโตอยู่? ยิ่งไปกว่านั้น บางอย่างก็สูญพันธุ์ไปนานแล้ว เช่น หญ้าหมอกมังกรเงาม่วง ต้นบุนนาคเมฆาพิสุทธิ์… พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับการกลั่นยาและขัดเกลาสมบัติวิเศษ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นขุมสมบัติทางธรรมชาติ! หากเราไม่เก็บเกี่ยวพวกมัน เราก็คงจะต้องเสียใจเป็นแน่แท้” หลิงไป๋ยิ้มกว้าง

“ตกลง เราจะเข้าไปเก็บเกี่ยวพวกมัน” เฉินซีก็รู้สึกประทับใจอย่างมากเช่นกัน ปราณวิญญาณที่นี่แน่นหนาจนเปลี่ยนเป็นหมอก สมุนไพรวิญญาณและพืชวิญญาณที่เติบโตขึ้นนั้น ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าของสวรรค์และโลกโดยธรรมชาติ ไม่เพียงแต่สามารถแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นวารีวิญญาณเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้สำหรับตัวเขาเองได้อีกด้วย อีกทั้งการรวบรวมพวกมันก็เท่ากับการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว

การอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามทำให้พวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ เฉินซีกับหลิงไป๋จึงไม่อาจล่าถอยและทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปเท่านั้น ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา พวกเขาจะรวบรวมวัตถุหายากที่พวกเขาพบเห็น และเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ช้าและไม่เร็ว เพื่อป้องกันเหตุร้ายใด ๆ ก็ตามที่จะเกิดขึ้น เพราะหากความเร็วของพวกเขามากเกินไป ก็ยากที่จะจินตนาการถึงเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ท้ายที่สุด พื้นดินที่นี่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยกระดูกหนาทึบของสัตว์อสูร มันย่อมมีเหตุผลสำหรับการตายของพวกมันอย่างแน่นอน

หลังจากก้าวเดินไปข้างหน้าได้ประมาณหนึ่งก้านรูป ในที่สุด ทั้งสองคนก็ได้ค้นพบว่า สถานที่ที่พวกเขาติดอยู่นั้นแท้จริงแล้วอยู่ในรอยแยกของหุบเขา!

เหนือศีรษะพวกเขาคือโขดหินสีดำสนิทที่ไม่มีที่สิ้นสุด ข้างใต้พวกเขาเป็นพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหินขรุขระที่มีรูปทรงแปลกประหลาด และดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่มืดสลัวและหนาวเย็น

เบื้องหน้าพวกเขาคือรอยแยกที่คนเพียงเดียวจะลอดผ่านเข้าไปได้ และภายในของมันลึกจนไม่อาจหยั่งได้ อีกทั้งยังมีสายลมเยียบเย็นซึ่งแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและคาวเลือดอย่างหนาแน่น พัดพาปราณวิญญาณบริสุทธิ์และหนาแน่นออกมาจากมัน

มีกระแสลม!

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี เนื่องจากการปรากฏตัวกระแสลม ย่อมแสดงให้เห็นว่ารอยแยกนี้ต้องเชื่อมต่อกับโลกภายนอก

“เฉินซี เราต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ กลิ่นอายแห่งความตายที่มาจากรอยแยกนั้นไม่ธรรมดา!” ใบหน้าของหลิงไป๋เคร่งเครียดในขณะที่เขากล่าว เนื่องจากเขาบ่มเพาะเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานที่เกี่ยวข้องกับความตายหรือการเกิดใหม่ได้อย่างถ่องแท้ ทำให้ประสาทสัมผัสของเขาไวต่อกลิ่นอายเช่นนี้เป็นอย่างมาก

เฉินซีพยักหน้ารับและถือกระบี่ในมือก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในรอยแยก ยิ่งเขาเดินเข้าไปลึกมากเท่าไร กระแสลมก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น และท้ายที่สุด เฉินซีก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากโคจรปราณแท้ของเขาเพื่อต้านทานพลังอันน่าสะพรึงกลัวของกระแสลม ทำให้สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาได้หยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมจนกระทั่งถ่องแท้ แต่กลับไม่สามารถเดินผ่านรอยแยกนี้ได้อย่างอิสระ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ

“ช้าก่อน! นี่มัน… ก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่!” จู่ ๆ หลิงไป๋ก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ และก็กระโดดออกจากไหล่ของเฉินซีเพื่อลงไปที่พื้น จากนั้นจึงหยิบก้อนหินสีดำสนิทขึ้นมา

ก้อนหินที่หลิงไป๋เรียกว่าก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่นั้น มีขนาดเท่าไข่ห่านและเรียบสนิทเหมือนกับหินกรวดที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย เมื่อเห็นท่าทีของหลิงไป๋ที่ดูเหมือนกับว่าเขาได้รับสมบัติล้ำค่า หรือว่าสิ่งนี้จะเป็นสมบัติที่หายากเช่นกัน?

“สิ่งนี้คืออะไรหรือ?” เฉินซีย่อตัวลงและยื่นมือออกไปจับมัน แต่แล้วเขากลับต้องตกใจ เนื่องจากไม่สามารถหยิบหินก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาได้!

ช่างหนักยิ่งนัก!

เฉินซีใช้ความพยายามเป็นอย่างมากก่อนที่จะสามารถหยิบโลหะที่เหมือนหินได้ในที่สุด ทันทีที่มันอยู่ในมือของเขา ก็เหมือนกับว่าเขากำลังถือภูเขาลูกเล็ก ๆ ที่หนักนับแสนจิน และมันทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้ปราณจ้าววิญญาณของเขา จึงจะสามารถถือมันไว้ในมือได้อย่างมั่นคง

ก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่นี้มีน้ำหนักมากกว่าโลหะทั้งหมดที่เฉินซีเคยพบเห็นมา และเพียงคุณลักษณะนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอันหายาก

“ก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่นี้เป็นวัสดุที่ใช้ในการขัดเกลาสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ และมันก็ล้ำค่ามาก แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็กมาก แต่หากผสมมันลงไปในกระบี่บิน ก็จะทำให้พลังของกระบี่บินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองส่วน!” หลิงไป๋กระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือของเฉินซี ก่อนจะมองไปที่มันพร้อมกับส่ายศีรษะและถอนหายใจ “เว้นแต่ว่าข้าจะบรรลุขอบเขตจุติ มิฉะนั้น ข้าก็ไม่สามารถกินมันได้ในตอนนี้ เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ”

“ฮะ เจ้าจะกินอะไรนะ?” หัวใจของเฉินซีสั่นไหว ถ้าสมบัติชิ้นนี้ถูกหลิงไป๋กินเข้าไป มันย่อมเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่! เฉินซีพลิกมืออย่างเร่งรีบเพื่อเก็บก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่ไปทันที จากนั้นกวาดสายตามองพื้นโดยรอบ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่พบก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่เลยสักก้อน

“ไปกันเถอะ บางทีอาจมีสมบัติที่น่าอัศจรรย์มากกว่านี้อยู่ภายในนั้นก็ได้” เฉินซีหัวเราะด้วยความคาดหวังเล็กน้อยก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป

อย่างไรก็ตาม เฉินซีเดินได้ไม่นานก่อนจะหยุดอย่างกะทันหัน หลิงไป๋จึงกล่าวด้วยความประหลาดใจและงุนงงว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“มีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา…” ขณะที่เฉินซีกำลังพูด สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น “บัดซบ ดูเหมือนพวกมันว่าจะสัมผัสได้ถึงเรา ช่างรวดเร็วเสียนี่กระไร!”

ในทันทีที่เขากล่าวจบ ดวงตาของหลิงไป๋ก็หรี่ลงทันที และจดจ้องไปยังจุดสีดำที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วตรงเบื้องหน้า

ฟิ้ว!

ความว่องไวของสิ่งนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดขณะที่มันปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ทันใดนั้นมันก็หยุดการเคลื่อนไหวโดยไม่มีวี่แววแม้แต่น้อย จากความเร็วสูงสุดไปจนถึงการหยุดนิ่งสนิท มันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา และความรู้สึกขัดแย้งแบบนั้นทำให้ส่งผลกระทบต่อสายตาเป็นอย่างมาก

“บัดซบ! แท้จริงแล้วมันคือผีเสื้อเงาหิมะ!” สีหน้าของหลิงไป๋มืดมนระคนฉุนเฉียว แต่น้ำเสียงของเขากลับฟังดูหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ

เฉินซีไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าผีเสื้อเงาหิมะคือสิ่งใด แต่ความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวจนหาตัวจับยาก กลับทำให้ประสาทสัมผัสของเขาตึงเครียดในทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]