บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 32

บทที่ 32 ซูเจียว
บทที่ 32 ซูเจียว

คำตอบนั้นได้รับการเฉลยอย่างรวดเร็ว

ภายใต้การจดจ้องของผู้คน เด็กสาวผู้สวมชุดสีครามเดินเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งสงบ

นางมีผมสลวยเงางามราวกับด้ายไหม ใบหน้ารูปไข่อันมีสเน่ห์ของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย ความเย่อหยิ่งแฝงอยู่ในท่าทางที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดนั้น

หลี่ไฮว่เป็นผู้แรกที่ฟื้นจากอาการตกตะลึงเมื่อเขาเห็นเด็กสาวผู้นี้และลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูซู!”

ในเวลานี้ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็รับทราบถึงตัวตนของเด็กสาวที่สวมชุดสีคราม บางคนตื่นเต้น บางคนประหลาดใจ บางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ซูเจียวแห่งเมืองทะเลสาบมังกร ขอแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่ในที่นี่” โค้งคำนับเล็กน้อยขณะที่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ

ผู้อาวุโสของตระกูลหลี่ฟื้นสติจากอาการตกตะลึง และทุกคนต่างก็เผยยิ้มบนใบหน้าขณะที่พวกเขาทักทายนาง หลังจากที่ซูเจียวนั่งลง ผู้อาวุโสใหญ่หลี่เฟิงถูก็ถามขึ้นทันทีว่า “เสี่ยวเจียว ผู้ใดใครคือตู้ชิงซีที่เจ้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้หรือ?”

“นางคือเจ้าของร้านนทีกระจ่างเจ้าค่ะ” ซูเจียวยิ้มบาง ๆ แล้วค่อยถอนหายใจ ก่อนกล่าวว่า “นางเป็นอัจฉริยะดั่งสวรรค์สร้างและค่อนข้างมีชื่อเสียงภายในเมืองทะเลสาบมังกร อีกทั้งยังเป็นลูกสาวอันล้ำค่าของผู้นำตระกูลตู้ที่แม้แต่ตัวข้าก็ไม่อยากมีปัญหากับนาง”

อะไรนะ!?

เจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังของร้านอาหารนทีกระจ่าง คือบุตรสาวคนโตของตระกูลตู้แห่งเมืองทะเลสาบมังกรหรือ?

ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกตะลึง

เมืองทะเลสาบมังกร เป็นหัวใจของดินแดนทางตอนใต้ที่ครอบคลุมพื้นที่สองแสนห้าหมื่นลี้ ตัวเมืองมีลักษณะคล้ายกับเมืองหลวง แทบทุกตระกูลและนิกายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งนับได้ว่ามีความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวในอาณาเขตทางตอนใต้ทั้งหมดล้วนตั้งรกรากอยู่ที่เมืองนี้

ในบรรดามหาอำนาจของเมืองทะเลสาบมังกร ขุมกำลังที่โดดเด่นที่สุดนั้นได้แก่ แปดนิกายสามสำนักและหกตระกูลยักษ์ใหญ่ จุดแข็งของขุมกำลังยิ่งใหญ่เหล่านี้คือทรัพยากรที่สั่งสมเป็นทุนสำรองมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้

ตระกูลซูและตระกูลตู้นั้นต่างก็เป็นสองในหกตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร แม้ว่าตระกูลหลี่จะมีอำนาจเหนือเมืองหมอกสน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับซูเจียว คุณหนูผู้มาจากหนึ่งในหกตระกูลอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร พวกเขายังคงต้องให้เกียรติและแสดงความเคารพแก่นาง นี่คือความไม่เท่าเทียมกันของพลังอำนาจระหว่างตระกูล!

บัดซบ!

‘หากไม่ใช่เพราะการมาของซูเจียว ตระกูลหลี่ของข้าคงเผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรงไปแล้ว!’ หลี่เฟิงถูหนาวไปทั่วแผ่นหลังเมื่อเขานึกถึงภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวของตู้ชิงซี

“ทว่าพวกท่านทุกคนไม่ต้องกังวลใจไป และไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับเศษสวะจากตระกูลที่ล่มสลายไปแล้ว เท่าที่ข้าทราบมาตู้ชิงซีดูเหมือนจะต้องการเลี้ยงดูเขาให้เป็นพ่อครัววิญญาณและพาเขาเข้าไปยังการทดสอบของดินแดนรกร้างใต้พิภพ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนชิงตราคำสั่งใต้พิภพคืนจากเฉินซีผู้นั้นเอง”

ท่าทีของหญิงสาวสงบนิ่งราวกับว่านางหาได้กล่าวถึงเรื่องสำคัญ จากนั้นนางก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการดูว่าชายผู้นี้ที่เคยหมั้นหมายกับตัวข้าจะมีความสามารถเพียงใด”

“คุณหนูซูเนื่องจากท่านเดินทางมาที่เมืองหมอกสน ในฐานะเจ้าบ้านเมื่อถึงเวลาข้าจะพาท่านไปหาไอ้คนผู้นั้นด้วยตัวเอง!” หลี่ไฮว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาของเขาฉายแววความหลงใหลอย่างไม่ปิดบัง

“งั้นข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว” ซูเจียวยิ้มพร้อมกับพยักหน้าด้วยท่าทางที่ไม่แยแสเหมือนเช่นเดิม ทว่าสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจแท้จริงไม่อาจมีผู้ใดรับรู้ได้

สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เฉินซีนั่งอยู่บนพื้นและเปิดตำราอย่างช้า ๆ

ตำราเล่มนี้บันทึกประสบการณ์การบ่มเพาะและการเปลี่ยนแปลงของจิตใจของเขาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มเริ่มจดบันทึกผลการฝึกฝนของเขาทุกวันตั้งแต่วันที่เขาได้ฆ่าอสูรแรดอินทนิลสองหัว

เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้เป็นเพราะการที่เขาต้องเลิกสร้างยันต์อักขระที่เขาทุ่มเทมาตลอดห้าปี มันทำให้เขาลำบากใจ ดังนั้นเขาจึงอยากจับพู่กันมาขีดเขียนตามอำเภอใจบ้าง…

ที่จริงแล้วเฉินซีย่อมรู้ตัวเองดีว่าเขายังคงรักการสร้างยันต์อักขระ และลวดลายของอักขระบนยันต์ที่เปี่ยมไปด้วยความละเอียดลึกซึ้งงดงามซึ่งเป็นผลงานของเขาเอง

บัดนี้มันกลับกลายเป็นรูปแบบของถ้อยคำในสมุด และคอยบันทึกทุกสิ่งซึ่งเขาไม่เต็มใจที่จะเล่าให้ผู้อื่นฟังลงไป

ข้ามีความสุขมาก! ผู้อาวุโสจี้อวี๋ชมเชยข้าที่สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว อันที่จริงข้ารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะคำชี้แนะของผู้อาวุโสจี้อวี๋ เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับข้าที่จะบรรลุขั้นสูงในเคล็ดวิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์!

ค่ำคืนนี้ เมื่อข้าฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่แยกวายุโกลาหล ข้าไม่อาจเข้าใจถึงแก่นของมัน จึงไม่อาจทะลวงไปสู่ระดับสูงได้ หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ข้ารู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนักและได้แต่นั่งที่ริมฝั่งแม่น้ำขณะที่ข้าจ้องมองอย่างว่างเปล่า ข้าจำได้ว่าเฉินฮ่าวไม่ท้อถอยแม้จะเหลือเพียงแขนซ้ายข้างเดียว ดังนั้นเหตุใดข้าจึงคิดท้อถอยกับเรื่องเพียงแค่นี้?

ในที่สุดข้าก็ได้เป็นพ่อครัววิญญาณระดับสองใบไม้! เฉียวหนานและเพ่ยเพ่ยต่างก็ยกย่องข้าว่าเป็นอัจฉริยะในวิถีเต๋าแห่งการปรุงอาหาร แต่ผู้เฒ่าหม่ากลับไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เขาบอกว่าไม่ควรยกยอข้ามากเกินไป มิเช่นนั้นข้าจะหลงระเริงซึ่งเป็นอันตรายต่อความก้าวหน้าของข้า…ฮ่า ๆ! อันที่จริงแล้วแม้ท่าทางของผู้เฒ่าหม่าจะแปลก ๆ แต่นิสัยของเขาก็ยังน่าเอ็นดูอยู่ดี!

ในยามดึก ขณะที่ข้าท่องไปในพื้นที่ป่าเถื่อนต้องห้ามทางตอนใต้ ข้าได้พบกับสัตว์อสูรที่มีขอบเขตก่อกำเนิดที่ถูกผู้คนเรียกว่าวานรอำพันจอมพลัง ผิวของมันแข็งเหมือนเหล็กกล้าที่ยากจะได้บาดเจ็บจากกระบี่หรืออาวุธมีคม ความเร็วของมันราวกับสายฟ้า และความแข็งแกร่งของมันก็สูงล้ำ เมื่อเห็นว่าไม่อาจหนีมันพ้น ข้าจึงยืนหยัดสู้อย่างเด็ดเดี่ยว ข้าสามารถแทงทะลุลำคอของมันได้ด้วยวิชากระบี่ของข้า แม้ปราณแท้ของข้าใกล้จะแห้งเหือด อีกทั้งร่างกายของข้ายังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ท้ายที่สุดข้าก็ฆ่ามันได้

หลังจากผ่านการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในที่สุดหมัดถล่มทลายก็ก้าวขึ้นสู่ระดับที่สาม ‘ทลายหินให้เป็นเข็มแหลม’ และในขณะเดียวกันความเชี่ยวชาญในการใช้วิชากระบี่ของข้าก็ก้าวไปสู่ขั้นสูงเช่นกัน มันเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก ผู้อาวุโสจี้อวี๋กล่าวติดตลกว่า เราควรจะเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จนี้!

………………………

ขณะที่ชายหนุ่มพลิกดูสมุดที่เขาเขียนบันทึกไว้ ราวกับเขากำลังหวนนึกถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในยามนั้น และมุมปากของเฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเล็กน้อย

ผู้เฒ่าหม่าผลักประตูเข้ามาและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ? เจ้ายิ้มเป็นกับเขาด้วยหรือเจ้าหนู?”

ในภาพจำของเขา เฉินซีนั้นสมฉายา ‘เฉินหน้าตาย’ เนื่องจากสีหน้าของชายหนุ่มไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ทว่าขณะนี้ผู้เฒ่าหม่ากลับเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา จึงอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

เฉินซีปิดสมุดลงและถามว่า “ข้าต้องเริ่มฝึกเพื่อเป็นพ่อครัววิญญาณระดับสามใบไม้แล้วหรืออาจารย์?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]