บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 320

บทที่ 320 กลุ่มตะวันเร้น

บทที่ 320 กลุ่มตะวันเร้น

ทะเลเมฆลอยขึ้นบนท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต

ในขณะนี้ มีร่างสองร่าง ร่างวัยเยาว์และวัยผู้ใหญ่ กำลังบินช้า ๆ ด้วยเสื้อผ้าพลิ้วไหวท่ามกลางหมู่เมฆราวกับกับเทพเซียน

“เจ้าไม่ให้ข้านั่งรถม้าสมบัติเก้ามังกรดำและเจ้าก็ไม่พาข้าข้ามมิติ และยังบังคับให้ข้าบินไปในท้องฟ้าที่อ้างว้างนี้ เจ้ามีอิสระมากจนไม่มีอะไรทำแล้วสินะ” นายน้อยโจวพึมพำอย่างไม่พอใจ

“เด็กเวร ข้าเพิ่งพาเจ้ามาจากการชุมนุมธารทองไม่ใช่รึ? บ่นอะไรไม่หยุดอยู่ได้! ข้าทำเพื่อประโยชน์ของเจ้านะ!” โจวเซวียนถงคำรามอย่างเย็นชา

นายน้อยโจวขมวดคิ้วขณะที่เขาพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าเอาแต่ปิดประตูเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ตลอดไม่ใช่รึ? แต่เจ้ายังออกมาเดินเล่นได้อีกรึ?”

เดินเล่น?

โจวเซวียนถงตกตะลึง จากนั้นเขาก็ตบหัวหลานของตัวเองก่อนจะด่าว่า “ข้าไม่สามารถนั่งเฉย ๆ ได้อีกต่อไปแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีลูกศิษย์ของตาแก่ประหลาดกี่คนที่ตั้งตารอการชุมนุมดาวรุ่ง? แม้แต่นักพรตเต๋าชราผู้เสเพลก็ไม่อาจนั่งเฉยได้ และเขาได้จับอสูรโบราณด้วยความตั้งใจที่จะใช้เศษเสี้ยวของแก่นโลหิตเทพอสูรโบราณชำระล้างสิ่งสกปรกภายในร่างกายของจ้าวชิงเหอที่เป็นศิษย์ของเขาให้สามารถแข่งขันชิงสิบอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่งได้ บอกข้าที ข้าจะไม่หวั่นไหวได้หรือ?”

“ใช้แก่นโลหิตของเทพอสูรโบราณเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง?” นายน้อยโจวตกใจอย่างมากและกล่าวว่า “ช่างฟุ่มเฟือยเสียนี่กระไร! หรือว่าเขาคิดว่าจ้าวชิงเหอจะไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเอง?”

โจวเซวียนถงคำราม “นี่ไม่ใช่เพราะศิษย์ของสหายเก่าบางคนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันและทำให้แผนการของทุกคนขัดข้องหรอกรึ? เจ้าไม่เห็นหรือว่าแม้แต่หวงฝู่ไท่อู่ก็ไม่สามารถนั่งเฉย ๆ และพาศิษย์ของเขาออกไปอย่างเร่งรีบ? เขาอาจจะรู้เรื่องนี้เช่นกันและวางแผนที่จะใช้เวลาหนึ่งปีนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับศิษย์ของเขาอย่างเหมาะสม”

นายน้อยโจวพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ย่อมมีเหตุผลใช่ไหม?”

“สระมังกรแปลงที่ถูกปิดตายมาไม่รู้กี่ปีกำลังจะถูกเปิด…” เมื่อเขาพูดคำว่าสระมังกรแปลง สีหน้าของโจวเซวียนถงก็เคร่งขรึม และดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความปรารถนาอันร้อนแรงที่หาได้ยาก

สระมังกรแปลง!

ดวงตาของนายน้อยโจวหรี่ลงในขณะที่เขาเข้าใจทุกอย่างในทันที และร่องรอยความไม่พอใจในใจของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากเงียบอยู่นาน เขาจึงถามขึ้นว่า “เจ้าจะพาข้าไปไหน?”

“ข้าจะพาเจ้าไปที่ดี ๆ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเจ้า” โจวเซวียนถงตบไหล่นายน้อยโจวและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องกดดันเกินไป ตราบใดที่เจ้าบ่มเพาะอย่างเหมาะสม ในปีหน้าเจ้าก็มีโอกาสที่จะติดอันดับหนึ่งในสิบของการชุมนุมดาวรุ่ง”

“ข้าจะต้องทำได้แน่นอน” นายน้อยโจวพยักหน้าและสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเตรียมใจ

“อ้อ ข้าลืมถามอะไรเจ้าไป ทำไมเจ้าถึงให้จี้หยกวิญญาณมังกรแก่เฉินซี” โจวเซวียนถงถามทันที

นายน้อยโจวยักไหล่ขณะที่เขาพูดว่า “ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่จ่ายเงินเดิมพันให้กับการเดิมพันที่แพ้”

โจวเซวียนถงดูเหมือนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่เขาพยักหน้า “ดีแล้ว แม้ว่าจี้หยกวิญญาณมังกรจะล้ำค่า แต่ก็เทียบอะไรไม่ได้กับหน้าตาของตระกูลโจวของเรา ดังนั้นจึงไม่สำคัญ”

นายน้อยโจวถามอย่างสงสัย “เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่?”

“ไม่มีอะไร ข้าเพิ่งได้ข้อมูลมาว่าเด็กคนนี้อาจจะไม่สามารถมาถึงนครหลวงธารสายไหมได้ และบางทีเขาอาจจะเสียชีวิต” โจวเซวียนถงตอบอย่างไม่ใส่ใจ

นายน้อยโจวพูดทันที “ทำไม? หรือว่ามีคนต้องการจัดการกับเขา”

“ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นหลายคนต่างหาก” โจวเซวียนถงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยว ท้ายที่สุดมันคือกลุ่มตะวันเร้นและมันจะเป็นปัญหามากหากตระกูลโจวของเรามีส่วนเกี่ยวข้อง”

กลุ่มตะวันเร้น?

นายน้อยโจวตกตะลึงด้วยความหวาดกลัว จากนั้นเขาก็เงียบไป

ตำหนักจ้าวขุนศึก

หวงฝู่ไท่อู่นั่งอยู่บนเบาะนั่งสูงที่อยู่ตรงกลาง ทั้งร่างกายของเขาเปล่งแสงที่พร่างพราวและเปล่งประกายออกมา เมื่อมองจากที่ไกล ๆ เขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์เจิดจ้าซึ่งมีอำนาจปกคลุมท้องฟ้า

“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวลไป ศิษย์จะบ่มเพาะอย่างหมั่นเพียรในถ้ำวิญญาณยุทธ์โลหิตเพื่อครอบตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับแรกในการชุมนุมธารทอง ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ซูเฉินคุกเข่าลงบนพื้นและพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

“ดี! ถ้ำวิญญาณยุทธ์โลหิตมีทั้งหมดสิบแปดชั้น ตราบใดที่เจ้าสามารถเข้าสู่ชั้นที่สิบห้าได้ ความแข็งแกร่งของเจ้าก็จะมากพอที่จะต่อสู้กับผู้อื่นได้” หวงฝู่ไท่อู่พูดด้วยเสียงที่เหมือนเสียงฟ้าร้อง และมันก็ดังกึกก้องภายในโถงรับชม “นอกจากนี้ เจ้าไม่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องเฉินซีและเพียงแค่บ่มเพาะอย่างสุดใจเสีย ถ้าข้าจำไม่ผิด เขาจะต้องถูกฆ่าตายในไม่กี่วันนี้แน่”

ซูเฉินตกใจและถาม “ท่านอาจารย์ หรือว่าท่านจะลงมือด้วยตัวเอง?”

หวงฝู่ไท่อู่ส่ายหัวของเขา “ไม่ใช่ข้าหรอก เจ้าคงเคยได้ยินเกี่ยวกับกลุ่มตะวันเร้นใช่ไหม? ตอนนี้ คนกลุ่มนั้นได้วางแผนสังหารเฉินซีแล้ว”

‘กลุ่มตะวันเร้น? ช่างโหดเหี้ยมนัก! เฉินซี ไอ้สารเลวคนนี้ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้คนมากมายและหว่านความเป็นปฏิปักษ์อย่างใหญ่หลวงไว้จนเกินความคาดหมายจริง ๆ…’ ใจของซูเฉินสั่นสะท้าน เขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องกลุ่มตะวันเร้นได้อย่างไรกัน?

เมืองนภาคราม ภายในห้องพักของโรงเตี๊ยม

เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนเตียงและกำลังทำสมาธิในการบ่มเพาะ ข้าง ๆ เขาวางน้ำเต้าขนาดใหญ่สีม่วงทองสามใบซึ่งบรรจุวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารห้าร้อยชั่งเอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งวางจี้หยกสีโลหิตไว้ ซึ่งก็คือจี้หยกวิญญาณมังกร

เขาออกจากสังเวียนประลองหลังจากได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง และเขากลับมาที่โรงเตี๊ยมด้วยความตั้งใจที่จะพึ่งพาความช่วยเหลือจากวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารและวิญญาณมังกรกับแก่นโลหิตในจี้หยกวิญญาณมังกรเพื่อแปรสภาพร่างกายให้พุ่งสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางในครั้งเดียวเลย

ในแง่หนึ่ง เหตุผลที่เขารีบดำเนินการอย่างเร่งด่วนก็เพราะการบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายของเขาได้แตะขอบของขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว และในทางกลับกัน เป็นเพราะความรู้สึกถึงอันตรายมีอยู่อย่างแผ่วเบาในหัวใจของเขา

หลังจากที่เขาได้ยินคำเตือนของบรรพบุรุษตระกูลโจวในระหว่างการชุมนุมธารทองเมื่อสามวันก่อน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีผู้พิชิตทัณฑ์สวรรค์ที่มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้แนะนำเขาโดยไม่มีเหตุผลหรืออีกฝ่ายจะสัมผัสได้ว่าเขาไม่ควรเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง เพียงเพราะเขาแค่รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่เพียงพอ ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ผิดปกติเกินไปจริง ๆ

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ร่องรอยของความรู้สึกอันตรายที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาบ่อยครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสรุปเหตุผลได้ แต่เขาก็ไม่กล้าลดการป้องกันลง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อป้องกันตัวเองจากอุบัติเหตุต่าง ๆ

หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ เขารู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของเขาสงบ ปลอดโปร่ง และบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะเริ่มบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางในการแปรสภาพร่างกายทันที

ตราบใดที่เขาบรรลุถึงขอบเขตของการบ่มเพาะนี้ พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาอย่างปีกนภาดารกะและฝ่ามือมหาดาราจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อใช้เป็นไพ่ตาย พวกมันจะก่อให้เกิดผลกระทบที่น่าประหลาดใจได้อย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากการบ่มเพาะแปรสภาพร่างกายของเขาได้บรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ความสามารถในการฟื้นตัวของร่างกายเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตราบเท่าที่หัวใจและศีรษะของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็สามารถพึ่งพาแก่นโลหิตของเขาที่กำลังเดือดเหมือนหินหลอมเหลวเพื่อฟื้นคืนสู่สภาพเดิมในทันที และนี่คือความสามารถในการรักษาชีวิตที่ยอดเยี่ยมของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ทันทีที่เฉินซีตั้งใจจะบ่มเพาะ เสียงเคาะประตูก็ดังออกมา จิตสัมผัสเทพของเฉินซีแผ่ออกมาจากห้องพัก และเมื่อเขาเห็นชัดเจนว่าใครคือผู้มาเยือน เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ‘นางมาทำไม?’

คนที่อยู่นอกประตูคือเจิ้นหลิวชิง ดูเหมือนนางจะพบกับปัญหายุ่งยากบางอย่าง ทำให้คิ้วสีดำของนางขมวดแน่น และใบหน้าที่สวยงามของนางก็มีสีหน้าที่ซับซ้อนมาก ซึ่งมีทั้งความกังวล ความประหลาดใจ และความคับข้องใจ

หลังจากที่เขาสั่งให้มู่ขุยเปิดประตู เฉินซีก็เดินออกมาจากห้องของเขาและถามด้วยความประหลาดใจ “แม่นางเจิ้นมีเรื่องเร่งด่วนใดจะพูดกับข้าหรือ?”

เจิ้นหลิวชิงมีเรื่องด่วนที่ต้องหารือจริง ๆ จากนั้นนางก็กล่าวอย่างไม่ปิดบังว่า “ข้าได้รับข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่ามีคนว่าจ้างกลุ่มตะวันเร้นให้มาจัดการเจ้า! หรือก็คือสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง”

“กลุ่มตะวันเร้น?” คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นและถามด้วยสีหน้างุนงง

เจิ้นหลิวชิงสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าเฉินซีไม่รู้ว่ากลุ่มตะวันเร้นนั้นร้ายกาจเพียงใด และนางก็อธิบายทันที “มันคือกลุ่มมือสังหารที่มุ่งเป้าไปยังผู้บ่มเพาะโดยเฉพาะ และพวกมันได้รับคำสั่งจากกองกำลังที่เรียกตนเองว่าตำหนักตะวันดำซึ่งเป็นกองกำลังที่เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร และกองกำลังดังกล่าวได้ส่งคนของตัวเองกระจายไปทั่วแผนดินซ่ง รวมไปถึงดินแดนอื่น ๆ พวกมันจึงเป็นกองกำลังที่น่ากลัวมาก แม้แต่ราชวงศ์ซ่งของเราก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ใดก็ตามสามารถจ่ายราคาได้ ตำหนักตะวันดำจะจัดการลอบสังหารให้ และการลอบสังหารทุกครั้งก็ไม่เคยล้มเหลว ทำให้มันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด”

เฉินซีรู้สึกวิตกในใจและในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดบรรพบุรุษตระกูลโจวถึงพูดคำเหล่านั้น เขาอาจจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเตือนตนเพราะนายน้อยโจว

เมื่อคิดดูแล้ว กองกำลังที่เรียกว่าตำหนักตะวันดำนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ มันครอบงำราชวงศ์สองสามแห่งและเป็นเหมือนกษัตริย์ไร้สวมมงกุฎซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืด การตกเป็นเป้าของกองกำลังเช่นนี้ย่อมเป็นเหตุแห่งความกลัว

แต่เฉินซีก็สับสนอย่างมากเช่นกัน ตอนนี้เขาไปทำให้ใครโกรธเคืองและเหตุใดพวกเขาจึงมอบหมายให้ตำหนักตะวันดำส่งกลุ่มตะวันเร้นมาโจมตีตน

มันเป็นหน่วยซุ่มโจมตี ไม่ใช่หน่วยไล่ล่า แค่ชื่อก็ชวนคิดได้มากมาย

“แม่นางเจิ้น ท่านรู้หรือไม่ว่าใครต้องการต่อต้านข้า?” เฉินซีตระหนักว่าสถานการณ์ร้ายแรงเพียงใด เขาจึงเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

เจิ้นหลิวชิงจ้องไปที่ดวงตาของเฉินซีอย่างแน่วแน่ขณะที่นางพูดว่า “หรือว่าเจ้าจะเดาอะไรไม่ได้เลย?”

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นดวงตาของเขาก็เย็นชาขณะที่เขาถาม “หรือว่าจะเป็นกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังองค์ชายหวงฝู่ หลินโม่เซวียน และเซียวหลิงเอ๋อร์? เดี๋ยวก่อน ข้าควรจะเพิ่มกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังหลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง เผยจง เซวี่ยเฉิน และคนอื่น ๆ ด้วย”

เจิ้นหลิวชิงนิ่งเงียบและเห็นได้ชัดว่านางหมดคำจะพูดโดยปริยาย

เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และพูดพร้อมกับกำหมัดว่า “ขอบคุณที่เตือนข้า แม่นางเจิ้น ข้าจะจดจำบุญคุณนี้และจะตอบแทนเป็นสิบเท่าในอนาคต!”

เจิ้นหลิวชิงส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าควรพิจารณาก่อนว่าเจ้าจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร”

“ข้าจะทำอะไรได้อีก? ศัตรูกำลังซ่อนตัวในขณะที่ข้าอยู่กลางแจ้ง ข้าสามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางข้าได้เท่านั้น” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม หลังจากทราบสาเหตุเบื้องหลังของเรื่องนี้แล้ว เขาจึงสงบสติอารมณ์ของตนเองแทน แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน เขาทำได้เพียงอดทนต่อสถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้เท่านั้น

“เฉินซี เฉินซี…” ในขณะนี้ ย่าชิงได้มาที่โรงเตี๊ยมนี้จริง ๆ แล้วพุ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว และเมื่อนางเห็นว่าเจิ้นหลิวชิงก็อยู่ที่นี่เช่นกัน นางก็รู้ทันทีว่านางน่าจะเคลื่อนไหวช้าเกินไป

ย่าชิงมาตอนนี้เพื่อบอกเฉินซีเกี่ยวกับการซุ่มโจมตีของตะวันดำเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเจิ้นหลิวชิง นางมีข้อมูลมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ท้ายที่สุดแล้วนางก็มาจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ และพวกเขาก็มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลร่วมกัน

“การซุ่มโจมตีนี้จะเกิดขึ้นระหว่างเมืองนภาครามและนครหลวงธารสายไหม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อท่านไปที่นครหลวงธารสายไหม ท่านจะเผชิญกับการลอบสังหารของกลุ่มตะวันเร้น ยิ่งกว่านั้น มือสังหารที่ถูส่งมาในครั้งนี้ทั้งหมดอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่ไม่มีผู้บ่มเพาะที่อยู่เหนือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเข้าร่วมสักคนเดียว ทว่าความแข็งแกร่งของมือสังหารเหล่านี้ก็ไม่สามารถประเมินต่ำเกินไปได้ เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางซึ่งมีอายุสองสามร้อยปี ถ้าในแง่ของความแข็งแกร่งและประสบการณ์ พวกเขายังห่างไกลจากสิ่งที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์สามารถเทียบได้” เมื่อย่าชิงพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางขณะที่นางพูดช้า ๆ “และตามความรู้ของข้า ข่าวเกี่ยวกับการลอบสังหารในครั้งนี้ไม่ได้ถูกเก็บเป็นความลับ และอีกฝ่ายก็ต้องการให้เจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน”

เฉินซีพูดด้วยความประหลาดใจ “พวกเขาต้องการให้ข้ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ?”

ย่าชิงพยักหน้าและพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะมา ข้าได้รับคำสั่งจากใครบางคนให้บอกบางอย่างกับท่าน”

“บอกข้ารึ? อะไร?” เฉินซีไม่ได้ถามว่าใครเป็นคนสั่งนาง เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังคือใคร ดังนั้นการถามทั้งหมดนี้จึงไม่มีความหมาย

“คนผู้นั้นบอกว่าหากเจ้ารอดจากการซุ่มโจมตีครั้งนี้ได้ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันก็จะหมดไป” ย่าชิงกล่าวราวกับกำลังเลียนแบบน้ำเสียงที่บุคคลนั้นพูดด้วย

“หมดไป?” มุมปากของเฉินซีแสยะด้วยความเยาะเย้ย “พวกเขารู้ว่าข้อมูลความล้มเหลวในการลอบสังหารของตำหนักตะวันดำแทบเป็นศูนย์ แต่ก็ยังพูดเช่นนี้ พวกเขาประเมินข้าสูงขนาดนั้นเลยรึ? หรือพวกเขาจงใจกวนประสาทข้า?”

เจิ้นหลิวชิงพูดทันที “ซุ่มโจมตี? ในความคิดของข้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทิ้งทางออกให้เจ้า และนั่นก็คือการไม่ไปนครหลวงธารสายไหม ด้วยวิธีนี้ก็จะไม่มีการซุ่มโจมตี และเจ้าจะสามารถรักษาชีวิตของเจ้าได้”

เฉินซีไม่คิดก่อนที่จะตอบอย่างเฉียบขาด “เป็นไปไม่ได้! ข้าจะต้องไปนครหลวงธารสายไหมเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]