บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 336

บทที่ 336 ชักจูงเข้าสู่กับดับ

บทที่ 336 ชักจูงเข้าสู่กับดับ

ดอกฝันร้ายสลายโลหิตเป็นสมุนไพรวิญญาณที่หายากซึ่งมีกลิ่นเฉพาะตัว และเมื่อสัตว์อสูรได้สูดดมกลิ่นของมัน ก็จะทำให้เกิดภาพลวงตาอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นภายในจิตใจของพวกมัน

กลิ่นเฉพาะตัวที่ปล่อยออกมาจากดอกฝันร้ายสลายโลหิตอายุหมื่นปีสามารถทำให้สัตว์อสูรคิดว่าตราบเท่าที่พวกมันกินดอกไม้นี้ พลังของมันจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเซียนสวรรค์ในพริบตา

แม้ว่าผลกระทบจากภาพลวงตาของพวกมันจะเกินจริงไปบ้าง แต่สรรพคุณทางยาของดอกไม้นี้ก็น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสัตว์อสูรบางชนิดที่พบว่าการแปลงร่างเป็นมนุษย์ของพวกมันเป็นเรื่องยากมาก แต่หลังจากที่พวกมันกินดอกไม้นี้เข้าไปแล้ว พวกมันจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ในระยะเวลาอันสั้น พร้อมกับครอบครองร่างกายที่ยอดเยี่ยมสำหรับการบ่มเพาะเต๋า

นี่จึงเป็นสิ่งล่อใจที่บรรดาสัตว์อสูรไม่อาจต้านทานได้

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อเฉินซีโยนดอกไม้วิญญาณที่แปลกประหลาดนี้เข้าไปในค่ายกลทะเลดาราอันไร้ขอบเขต สัตว์อสูรที่เป็นดั่งจ้าวผู้ปกครองในบริเวณนี้เหล่านี้ จะไม่สนใจความปลอดภัยของพวกมันและพุ่งเข้าสู่ค่ายกลทะเลดาราอันไร้ขอบเขตโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เฉินซีไม่ได้ถอนหายใจด้วยความรู้สึกเสียดายดอกไม้ดอกนั้นอีกต่อไป และนั่งลงขัดสมาธิก่อนที่จะเริ่มฟื้นฟูพละกำลังที่อ่อนล้าของเขา

ตั้งแต่การจัดวางค่ายกลเพื่อล่อให้มือสังหารตำหนักตะวันดำโจมตี จากนั้นชักจูงพวกเขาเข้าสู่ค่ายกลใหญ่ และในที่สุดก็รวบรวมสัตว์อสูรระดับราชาเหล่านี้ ทุกย่างก้าวต้องใช้แรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีอันตรายมากมายตลอดทาง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ทุกอย่างต้องสูญเปล่า ในขณะที่เขาก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นกัน

นี่คือการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและไม่อนุญาตให้เกิดอุบัติเหตุแม้แต่น้อย

แต่นับว่าโชคดีที่จนถึงตอนนี้ แผนทั้งหมดเกือบเสร็จสมบูรณ์ และถึงเวลาเก็บเกี่ยวรางวัลต่อไป

มันเป็นกับดัก!

กับดักที่ถูกสร้างอย่างพิถีพิถันเมื่อนานมาแล้วและกำลังรอให้เราตกลงไป!

จิ้งจอกแดง กุหลาบ และมือสังหารทั้งหมดของตำหนักตะวันดำที่อยู่ข้างหลังพวกเขา ต่างก็มีสีหน้าหนักใจอย่างมาก ขณะที่พวกเขายังคงระแวดระวังต่อสิ่งรอบข้างและไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นค่ายกลลวงตาขนาดใหญ่ เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปภายในค่ายกล สวรรค์และโลกจะถูกปกคลุมด้วยดาวสีเงินที่กะพริบแสงไปรอบ ๆ และมีดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องประกายอย่างริบหรี่อยู่ทุกหนทุกแห่ง มันลึกล้ำและกว้างใหญ่ไพศาล จนทำให้ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าทางออกที่แท้จริงอยู่ที่ใด

จิ้งจอกแดงไม่ได้ร้อนรนเมื่อเผชิญกับทางตัน ท้ายที่สุด เฉินซีก็เป็นเป้าหมายเพียงคนเดียว ไม่ว่าค่ายกลจะทรงพลังถึงเพียงใด มันก็ต้องถูกควบคุมและค่ายกลที่จะต้องควบคุมกับค่ายกลที่ปราศจากการควบคุม มันก็นับเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าค่ายกลจะมีความลึกล้ำมากมาย แต่ก็เป็นแหล่งความแข็งแกร่งภายนอกประเภทหนึ่งอยู่ดี หลังจากใช้ชีวิตผ่านการเข่นฆ่ามาอย่างยาวนาน จิ้งจอกแดงก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าสาระสำคัญของการต่อสู้คือการแข่งขันด้านความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงว่าค่ายกลใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเขา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงค่ายกลลวงตาที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตเลยแม้แต่น้อย และตราบใดที่พบตำแหน่งฐานของค่ายกล เขาก็จะสามารถทำลายค่ายกลได้อย่างง่ายดาย

หลังจากที่เขารวมสมาธิแล้ว จิ้งจอกแดงก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่นอีกต่อไปและรวมความสนใจไปที่การฝ่าออกจากค่ายกล

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายามฝ่าตัวออกจากค่ายกล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับค่ายกลลวงตาที่ทรงพลัง แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้ใด ๆ เกี่ยวกับค่ายกลใหญ่ที่มีดาวกะพริบแสงอยู่ภายในนั้น แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกมั่นใจ ด้วยการพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองและสหายของเขา การจะฝ่าออกจากค่ายกลนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!

จิ้งจอกแดงนำทุกคนไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่เร็วนัก หลุมขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นบนพื้นทุกครั้งที่เขาเหยียบย่าง และภาพลวงตาใด ๆ จะถูกทำลายด้วยสิ่งนี้ ด้วยวิธีนี้ เขาจะไม่สับสนจากภาพลวงตาได้ง่าย ๆ

แม้ว่าวิธีนี้จะดูงี่เง่า แต่ก็มีประสิทธิภาพอย่างมาก เขาเพียงต้องก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวและค้นหาทั่วทั้งค่ายกลใหญ่ และถ้าหากสามารถค้นพบฐานของค่ายกล เขาก็จะสามารถฝ่าออกจากมัน

แม้วิธีการอาจแตกต่างกัน แต่หลักการก็เหมือนกัน ค่ายกลยันต์อักขระใด ๆ ก็ตามย่อมมีฐานของมัน เพราะฐานคือศูนย์กลางของค่ายกลยันต์อักขระ ตราบใดที่ฐานถูกทำลาย แม้แต่ค่ายกลยันต์อักขระที่ทรงพลังที่สุดก็ยังพังทลายลงในทันที

ยิ่งเขาก้าวไปไกลเท่าไร เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว เฉินซีก็เป็นเพียงคนคนเดียว และค่ายกลใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นเพียงค่ายกลลวงตาที่ไม่มีอันตรายถึงตายแม้แต่น้อย ดังนั้นพลังเช่นนี้จะขัดขวางฝีเท้าของเขาได้อย่างไร?

ทันใดนั้น จิ้งจอกแดงก็หยุดเคลื่อนไหว

กุหลาบที่อยู่ใกล้เคียงพลันเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “มีอะไรหรือ? สถานการณ์ผิดปกติหรือไม่?”

จิ้งจอกแดงแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย “เป้าหมายกำลังเข้ามาหาเรา”

กุหลาบตกตะลึง จากนั้นความเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นบนมุมปากของนาง “ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นเพียงค่ายกลลวงตา มันคงรู้ว่าตัวเองไม่สามารถดักจับเราได้นานอีกต่อไป ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะลงมือด้วยตัวเอง”

ขณะที่นางกล่าว เจตนาฆ่าที่เข้มข้นก็พรั่งพรูออกมาบนใบหน้าที่เย็นยะเยือกและงดงามหาที่เปรียบไม่ได้ของนาง ครั้งล่าสุดที่เฉินซีได้หลบหนีไปจากสายตาของนาง ทำให้ท้องไส้ที่เต็มไปด้วยความโกรธสะสมอยู่ในตัวนาง ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้นางยังตกหลุมพรางของเฉินซีอีก สถานการณ์ที่นางประสบกับความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ทำให้นางโกรธจนแทบบ้า และนางปรารถนาที่จะเข่นฆ่าเขาเป็นการด่วน!

เพราะมีเพียงการฆ่าเท่านั้นที่นางจะสามารถระบายเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่พลุ่งพล่านในตัวได้!

จิ้งจอกแดงไม่กล่าวอะไรและหลับตาลง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นทันทีและร้องออกมาด้วยความตกใจ “ความเร็วของเป้าหมายมันเร็วเกินไป! ยิ่งกว่านั้นมันยังมีมากกว่าหนึ่ง…”

เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของจิ้งจอกแดงก็เลวร้ายลง และเขาก็ไม่ได้สงบสติอารมณ์อีกต่อไปในขณะที่ตะโกนออกไปอย่างรุนแรง “เร็วเข้า! ศัตรูมีมากเกินไป เตรียมปะทะกับพวกมันในทันที!”

ครืนนนนนน!

เมื่อจิ้งจอกแดงกล่าวจบ คลื่นเสียงของการวิ่งทะยานที่คล้ายกับเสียงของฟ้าร้องก็ดังกึกก้องอยู่ภายในค่ายกลใหญ่ทั้งหมดอย่างรุนแรง จนแผ่นดินสั่นสะเทือนและท้องฟ้าสั่นสะท้าน

มังกรที่มีขนาดมหึมาราวกับภูเขา สัตว์ร้ายที่บินได้ด้วยปีกที่งดงาม วานรขนสีทองขนาดมหึมาที่สูงกว่าสิบสองจั้ง… ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรระดับราชาที่อยู่ในป่าทมิฬทั้งหมด ได้มารวมตัวกัน!

ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่จิ้งจอกแดง แต่ใบหน้าของทุกคนก็กลายเป็นซีดเผือดเนื่องจากในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า ไม่ใช่เฉินซีที่จะมาโจมตี แต่กลับเป็นฝูงสัตว์อสูรที่หนาแน่นแทน!

“ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจนัก!”

“ช่างเป็นแผนอันเหี้ยมโหด!”

“ช่างเป็นกลยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร!”

ในขณะนี้ จิ้งจอกแดงก็เข้าใจแผนการทั้งหมดของเฉินซี ค่ายกลลวงตานี้ไม่มีพลังทำลายล้างเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าฝูงสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวบุกเข้ามาในทันที ความอันตรายที่เกิดจากสิ่งนี้จะน่ากลัวยิ่งกว่าค่ายกลใหญ่อย่างแน่นอน!

ในขณะนี้ พวกเขาไม่สามารถถอนตัวออกไปได้ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถล่าถอยได้ในขณะที่ติดอยู่ในค่ายกลใหญ่ มิฉะนั้นคงมีความตายเท่านั้นที่จะรอพวกเขาอยู่

จิ้งจอกแดงผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาหลายร้อยครั้งและรู้ว่าการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเหล่านี้จะทำให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิตเพียงเล็กน้อย จึงกัดฟันและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวทันที “ฆ่า!”

เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดที่ราวกับเสียงฟ้าร้องระเบิดดังก้องไปทั่วทั้งค่ายกลใหญ่ และมันได้ปลุกทุกคนที่ตกอยู่ในความตื่นตระหนกให้ตื่นขึ้น เสียงตะโกนที่ดังลั่นของจิ้งจอกแดง ทำให้พวกเขาสามารถหาเสาหลักเพื่อสนับสนุนได้ทันที

ในฐานะมือสังหารของตำหนักตะวันดำ การร่วมมือของพวกเขาถือว่าไร้ที่ติ และทักษะการต่อสู้ของพวกเขานั้นเหนือกว่าผู้บ่มเพาะธรรมดาเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาสามารถเตรียมรูปแบบการต่อสู้ให้เสร็จสิ้นได้ในทันที และเปิดการโจมตีกับฝูงสัตว์อสูรที่ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม

จิ้งจอกแดงคำรามออกมาอย่างรุนแรง ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ฝูงสัตว์อสูรเป็นคนแรก

“ในที่สุดมันก็เริ่มขึ้นแล้ว… “ ทันใดนั้น เฉินซีก็ลืมตาและยืนขึ้น จากนั้นจิตสัมผัสเทพของเขาก็แผ่ไปสู่ค่ายกลใหญ่ ในขณะที่ชายหนุ่มเริ่มให้ความสนใจกับการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นภายในนั้น

ก่อนที่เขาจะต้องตกใจเมื่อสังเกตเห็นจิ้งจอกแดงซึ่งอ่อนโยนเหมือนอิสตรีเข้าสู่การต่อสู้ เพราะอีกฝ่ายดุร้ายเกินกว่าจะเปรียบเทียบได้ ร่างกายที่ผอมบางของจิ้งจอกแดงได้ระเบิดพลังที่ดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวออกมา ในขณะที่อีกฝ่ายออกอาละวาดอยู่ท่ามกลางสัตว์อสูร และคว้าจับสัตว์อสูรที่ตั้งตัวไม่ทัน ทำให้สามารถดึงดูดการโจมตีของสัตว์อสูรส่วนใหญ่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดวิชาการต่อสู้ของจิ้งจอกแดงนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก

จิ้งจอกแดงถือสิ่วเหล็กสีทองยาวสี่ฉื่อในมือแต่ละข้าง สิ่วนั้นหนาเหมือนหัวแม่มือ และใบมีดที่ขอบก็มีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงพวกมันออกไป มันจะควบแน่นเป็นรูปกรรไกรสีทองขนาดมหึมาที่ตัดและแยกมิติออกด้วยความคมที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งทำให้สัตว์อสูรที่ล้อมรอบอยู่ได้รับบาดเจ็บไม่เบา

แกร๊ก!

จิ้งจอกแดงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในขณะที่กรรไกรสีทองส่องประกายบนท้องฟ้าและกลิ่นอายที่ดุร้าย รวมถึงความอำมหิตที่เขาปล่อยออกมาอาจกล่าวได้ว่าไม่สามารถหยุดได้ จนแม้แต่เฉินซีก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่ทรงพลังของอีกฝ่าย

แต่เมื่อเทียบกับจิ้งจอกแดง วิธีการต่อสู้ของกุหลาบนั้นน่ากลัวกว่าอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวผู้เย็นชาที่สวมชุดสีแดงเลือดที่ปลิวไสวไปมา มีโซ่สีแดงเลือดที่บางเท่านิ้วหัวแม่มือ พันอยู่รอบข้อมือขาวราวกับหิมะของนาง และทุกครั้งที่เหวี่ยงมันออกไป มันก็เหมือนกับงูสีแดงเลือดที่ร่ายรำอยู่บนท้องฟ้า

ยิ่งกว่านั้นทุก ๆ ส่วนของโซ่นี้มีพลังกลืนกินที่รุนแรง ตราบใดที่ร่างกายของสัตว์อสูรถูกล่ามด้วยโซ่สีเลือดไว้เพียงชั่วครู่ เศษเนื้อและแก่นแท้ของมันจะถูกกลืนกินเข้าไป ทำให้โซ่นั่นดูชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

วิธีการโจมตีของกุหลาบโดดเด่นอย่างมากในการต่อสู้แบบกลุ่ม สัตว์อสูรที่เดิมอยู่รวมกันเป็นฝูงถูกนางโจมตีจนกระจัดกระจาย ทำให้ภัยคุกคามที่สัตว์อสูรมีต่อทุกคนลดลงไปอย่างมาก

มือสังหารคนอื่น ๆ ของตำหนักตะวันดำต่างก็ร่วมมือกันอย่างเงียบ ๆ โดยรวมการโจมตีของพวกเขาเพื่อจัดการกับสัตว์อสูรที่กระจัดกระจายออกจากฝูง

เคล็ดวิชาการต่อสู้ของกุหลาบและจิ้งจอกแดงทำให้เฉินซีได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่ได้รู้สึกกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นกับกับดักร้ายแรงของตนเองเลยสักนิด

เพราะไม่ว่าจะเป็นมังกร สัตว์อสูรที่บินได้ หรือวานรยักษ์ พวกมันล้วนทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ากุหลาบจะสามารถทำให้สัตว์อสูรเหล่านี้แตกฝูงได้ แต่นางก็ไม่สามารถทำให้พวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัส

ในทางตรงกันข้าม การโจมตีอย่างต่อเนื่องของจิ้งจอกแดงและกุหลาบได้กระตุ้นความโหดเหี้ยมที่อยู่ภายในกระดูกดำของสัตว์อสูรเหล่านี้ ทำให้พวกมันบ้าคลั่งและเกรี้ยวกราด จากนั้นพวกมันก็รวมพลังกันเพื่อสังหารศัตรูทั้งหมดที่อยู่รอบตัวของพวกมัน

ปัง!

มือสังหารหกคนมองเห็นเงาสีดำห่อหุ้มพวกตน ทว่าพวกเขาไม่สามารถหลบได้ ก่อนที่กรงเล็บของมังกรจะตบลงมาที่คนทั้งหก บดขยี้คนเหล่านั้นจนกลายเป็นก้อนกลมและตายอย่างน่าอนาถ

ในป่าทมิฬ มังกรตัวนี้เป็นสัตว์อสูรระดับราชาที่มีพลังโจมตีและพลังป้องกันอยู่ในจุดสูงสุดท่ามกลางสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ เกล็ดที่หนาของมันไม่อาจทะลุทะลวงได้ และเมื่อกรงเล็บมหึมาของมันฟาดลงไปก็สามารถบดขยี้ภูเขาและผืนดินให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยเหตุนี้ มันจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งจากจิ้งจอกแดง เนื่องจากการตายของสหายของพวกเขา ทำให้มือสังหารคนอื่น ๆ แทบทั้งหมดมุ่งความสนใจไปที่การโจมตีใส่มังกรยักษ์ตัวนี้

แฮ่! แฮ่! แฮ่!

มังกรตกอยู่ภายใต้การโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าความสามารถในการป้องกันของมันจะน่าตกตะลึงเพียงใด เมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างเกรี้ยวกราดของมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจำนวนมาก ร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยรูพรุนเช่นกัน

แต่เป็นเพราะมังกรตัวนี้ดึงดูดการโจมตีได้เกือบทั้งหมด มันจึงเปิดโอกาสให้สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ได้ฉวยโอกาส

สัตว์อสูรที่บินได้ขนาดมหึมาพลันร่อนลงมาก่อนที่ปีกของมันจะสยายออก จากนั้นปีกที่คมกริบเหมือนใบมีดก็กวาดผ่านฝูงชนในทันที เปลี่ยนให้มือสังหารกว่าสิบคนถูกผ่าครึ่งที่เอว เลือดสด ๆ สาดกระจายออกมาขณะที่พวกเขาล้มลงและสิ้นใจไป

สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามันเลยแม้แต่น้อย และพวกมันเกือบทั้งหมดได้ฉวยโอกาสนี้เพื่อสังหารมากกว่าสิบคนต่อตัว และภายใต้ความโหดร้ายอันน่าสะพรึงกลัวที่พวกมันเปิดเผยออกมา แม้แต่เฉินซีซึ่งอยู่นอกค่ายกลใหญ่ ก็ยังต้องหลั่งเหงื่ออันเย็นเฉียบออกมาโดยไม่รู้ตัว

ในขณะนี้ ภายในค่ายกลทะเลดาราอันไร้ขอบเขต มีกลิ่นหนาแน่นของเลือดโชยอยู่ในอากาศ ชิ้นส่วนของศพปกคลุมพื้นดิน และเสียงร้องโหยหวนดังก้องออกมาอย่างไม่รู้จบ เมื่อรวมกับเสียงคำรามที่เกรี้ยวกราดและกระหายเลือดของสัตว์อสูรต่าง ๆ มันก็เหมือนกับนรกบนดิน

เฉินซียืนอยู่นอกค่ายกลใหญ่ด้วยสีหน้าที่เฉยเมย เนื่องจากความตายของคนเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกสงสารได้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพึมพำทันที “มือสังหารเหลืออยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น น่าจะได้เวลาแล้วที่พวกมันจะระเบิดแกนทองคำของพวกมัน มิฉะนั้นพวกมันอาจถูกกำจัดโดยสิ้นเชิง…”

ขณะที่กล่าว ร่างของเขาก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ทิ้งระยะห่างออกไปร้อยยี่สิบจั้งในทันที

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เป็นไปอย่างที่เฉินซีคาดไว้ มือสังหารจากตำหนักตะวันดำเหล่านี้ รู้ว่าพวกมันไม่มีความหวังที่จะฝ่าวงล้อมออกไปได้ในขณะนี้ ดังนั้นพวกมันจึงเริ่มจุดชนวนแกนทองคำของตนเองแล้ว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]